PwC ประเทศไทย แนะผู้บริหารติดตามแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมไปถึงข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับตลาดและการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่จะมีการบังคับใช้เพื่อให้สามารถระบุประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ และบริหารงานเชิงรุกเพื่อรักษาธุรกิจให้ดำเนินไปตามแผนการที่กำหนดไว้ ในขณะเดียวกันต้องตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ
นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนาประจำปี “Corporate Reporting Forum 2023” ในหัวข้อ “Decoding the future landscape” ว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องการข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงแบบเรียลไทม์และสามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำเพื่อรักษาการเติบโตและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในปัจจุบันผู้ใช้งบการเงินไม่เพียงต้องการข้อมูลทางการเงินเท่านั้น แต่ยังคาดหวังที่จะได้รับข้อมูลที่มิใช่ข้อมูลทางการเงินมากขึ้น
สำหรับประเด็นทางบัญชีที่ผู้ประกอบการของไทยควรต้องติดตามนั้น ประกอบไปด้วย การรับรู้รายการบัญชีเมื่อบริษัทผลิตหรือซื้อคาร์บอนเครดิตซึ่งยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีหรือแนวปฏิบัติทางบัญชีที่เฉพาะเจาะจงรองรับ การแก้ไขมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 1 เรื่อง การเปิดเผยนโยบายบัญชีที่มีสาระสำคัญนั้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้งบการเงินมีข้อมูลนโยบายบัญชีเฉพาะที่มีสาระสำคัญและเฉพาะเจาะจงกับกิจการ
นอกจากนี้ยังได้หารือเกี่ยวกับทิศทางของมาตรฐานการบัญชีใหม่ในอนาคตอันใกล้ซึ่งจะส่งผลกระทบหลักต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนองบกำไรขาดทุน และการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อกำหนดในการเปิดเผยความเชื่อมโยงของข้อมูลที่นำเสนอนอกงบการเงินที่เกี่ยวกับตัววัดผลการดำเนินงานฝ่ายบริหารกับข้อมูลผลการดำเนินงานในงบกำไรขาดทุน
ธุรกิจต้องตื่นตัวในเรื่องการรายงานด้านความยั่งยืน โดยการรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ถือเป็นอีกประเด็นที่ธุรกิจไทยควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยจะยังไม่มีการกำหนดกรอบการรายงานด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน แต่ก็มีกรอบการรายงานและมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่ออกโดยสามหน่วยงานที่ธุรกิจควรศึกษาและนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำรายงาน ได้แก่
1) คณะกรรมการมาตรฐานความยั่งยืนระหว่างประเทศ (ISSB)
2) คณะที่ปรึกษาการรายงานข้อมูลทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG)
และ 3) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา (US SEC)
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถทำความเข้าใจมาตรฐาน และตระหนักถึงความสำคัญของการกำหนดมาตรฐานระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น
“เพื่อเพิ่มความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุก ๆ มิติ ธุรกิจควรเรียนรู้วิธีการใช้กรอบการรายงานเหล่านี้และทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่มีต่อธุรกิจ ซึ่งการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนนั้น ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวสำหรับทุกธุรกิจ ดังนั้น ผู้บริหารจะต้องทำความเข้าใจผลกระทบด้าน ESG และโอกาสที่มาพร้อมกับกรอบการจัดทำรายงานเหล่านี้เพื่อช่วยให้สามารถพัฒนากลยุทธ์การจัดทำรายงานที่ชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการและปรับใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด” นายชาญชัย กล่าว
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ในภาวะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวและมีปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบการดำเนินธุรกิจแทบทุกวันนั้น การแสวงหาโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในแนวทางอื่น ๆ นอกเหนือจากการพึ่งพาการเติบโตจากภายใน (Organic growth) เพียงอย่างเดียว ยังถือเป็นแนวทางหนึ่งที่ธุรกิจทั่วโลกให้ความสนใจในการนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value creation)
อย่างไรก็ดี ผู้บริหารธุรกิจควรต้องกำหนดเป้าหมายขององค์กรก่อนนำเอไอมาใช้ รวมทั้งบูรณาการระบบอัตโนมัติและเอไอให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางการเงิน และเหนือสิ่งอื่นใด ควรต้องยกระดับทักษะของบุคลากรและปรับปรุงกระบวนการทางการเงินขององค์กรให้ทันสมัย เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานเอไอได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นมุ่งเน้นการเติบโตจากภายนอก
นอกจากนี้ การเติบโตจากภายนอก (Inorganic growth) ผ่านกระบวนการควบรวมกิจการ (Merger and acquistion: M&A)
“อย่างไรก็ดี เราเริ่มเห็นสัญญาณของการควบรวมกิจการของไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้โดยพบว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม มีแนวโน้มของการทำดีลมากที่สุด” นายชาญชัย กล่าว
“ในช่วงที่กิจกรรมดีลมีการชะลอตัวนั้นยังถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ขายกิจการในการเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างมูลค่าให้กับดีลในหลาย ๆ แง่มุม เพราะปัจจุบันผู้ซื้อมักจะขอเข้าทำการตรวจสอบสถานะกิจการ หรือ due diligence ในขอบเขตที่กว้างขึ้นและมากกว่าแค่ด้านการเงินเหมือนในอดีต ในส่วนของผู้ซื้อเองจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงการสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ โดยการสร้างมูลค่าจะต้องเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ตั้งแต่วันแรกของการควบรวมกิจการ หรือ day one เพื่อให้สามารถรับรู้และใช้ประโยชน์จากคุณค่าหลังจากที่ได้ปิดดีลได้ตามเป้าหมายการเติบโตที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น” นายชาญชัย กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ย. 66)
Tags: AI, ESG, PwC, PwC ประเทศไทย, ชาญชัย ชัยประสิทธิ์, ธุรกิจ