นายกฯ ชูจุดแข็งด้านทำเล-แหล่งผลิต ชวน Walmart ตั้งศูนย์กระจายสินค้าในไทย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้หารือกับภาคเอกชนชั้นนำของสหรัฐ บริษัท Walmart เป็นบริษัทค้าปลีกสัญชาติอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสาขามากกว่า 10,500 สาขา ใน 20 ประเทศทั่วโลก โดยบริษัทฯ ประกาศว่าจะลงทุน เพื่อปรับโฉมร้านค้าให้ทันสมัยขึ้น พร้อมเพิ่มขนาดร้านขายยา เพิ่มจุดชำระเงิน และแผนกอาหารในสาขา

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณที่บริษัท Walmart ดำเนินการจัดซื้อ/หาสินค้าจากไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยนายกฯ ยังได้เชิญชวนให้บริษัทฯ พิจารณาจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในไทย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งในสถานที่ตั้งที่ใกล้กับแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ supply chain อีกทั้งไทยยังเหมาะที่จะเป็นแหล่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอีกด้วย ทั้งนี้ ไทยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ฮาลาล และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของไทย ที่ถือเป็น soft power อย่างหนึ่ง

ด้านผู้บริหารบริษัท Walmart กล่าวว่า บริษัทฯ มองประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้า และวัตถุดิบที่มีศักยภาพ (potential supplier) อาทิ สินค้าเกษตร (ข้าว และผลไม้ฤดูร้อน เป็นต้น) โดยคาดว่าในไตรมาสแรกของปีหน้า จะเดินทางไปเยี่ยมเยือนเมืองไทยเพื่อไปหาสินค้าและวัตถุดิบใหม่ๆ ซึ่งหากไทยเห็นว่ามีสินค้าใดที่มีศักยภาพ ก็สามารถแนะนำได้

ส่วนการหารือกับ บริษัท Western Digital (WD) นั้น พบว่า บริษัท Western Digital เป็นผู้ผลิต Hard Disk Drive (HDD) รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต Hard Disk Drive ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท และเป็นโรงงานผลิต HDD เพียงแห่งเดียวที่มีขั้นตอนการประกอบ ทดสอบ ขั้นสุดท้าย บริษัทฯ จึงมีส่วนช่วยสำคัญให้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออก HDD รายใหญ่ที่สุดของโลก

โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีที่ได้ทราบว่าบริษัทฯ ย้ายสายการผลิตหัวอ่าน (Recording Head) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สุดชิ้นส่วนหนึ่งของระบบ HDD ทั้งหมดมาที่ประเทศไทย ซึ่งการเลือกย้ายฐานผลิตหัวอ่านมาไทยนี้ จะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนสำคัญนี้แห่งเดียวในโลกของ WD แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของบริษัทที่จะขยายลงทุนต่อเนื่องในไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ไทยมีนโยบายส่งเสริมพลังงานสีเขียว (green energy) ซึ่งทางบริษัทฯ กล่าวชื่นชมและยินดีกับนโยบายนี้ของไทยเป็นอย่างมาก ถือเป็นนโยบายที่เป็นจุดเด่นของไทย โดยบริษัทฯ กำลังผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น จึงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท และต้องการใช้พลังงานสะอาดอย่างมาก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี หวังว่าบริษัทฯ จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะของไทย (skilled labour) ขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลและสถาบันการศึกษาของไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับ WD เพื่อพัฒนาทักษะ (upskill) แรงงานท้องถิ่นให้พร้อมสำหรับแผนการลงทุนในอนาคต พร้อมย้ำว่า ไทยพร้อมและเปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนแล้ว ซึ่งบริษัทฯ มีความโดดเด่นด้านการพัฒนาบุคลากรไทยมาอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าโรงงานทั้งสองแห่งของบริษัทก็เป็นคนไทย จึงพร้อมที่จะร่วมมือและมีศักยภาพที่จะรองรับอย่างดี

โอกาสนี้ บริษัทฯ ยังได้กล่าวชื่นชมมาตรการวีซ่าประเภทใหม่ของไทย “Long-Term Resident (LTR)” ที่เอื้อและเพิ่มความน่าดึงดูดในการอยู่อาศัยและลงทุนในกลุ่มบุคคลที่มีศักยภาพสูงมาประเทศไทยมากขึ้น โดยขณะนี้ บริษัทฯ ยังพิจารณาที่จะย้าย Headquarter มาตั้งที่ไทยด้วย

ส่วนการหารือกับบริษัท Google ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริการด้านซอฟต์แวร์ และโซลูชั่นชั้นนำระดับโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยผลิตภัณฑ์หลักที่ให้บริการหลากหลาย อาทิ กลุ่มการให้บริการสื่อและโฆษณา (Media and Advertising) และกลุ่มการให้บริการบนระบบคลาวด์ (Cloud Services) เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะลงทุนสร้าง Data Center เพิ่มเติมในอาเซียน โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญ

นายกรัฐมนตรี ยินดีกับการครบรอบ 10 ปี Data Center แห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ฉางหัว ไต้หวัน และยินดีที่ Google พิจารณาไทยเป็น 1 ในสถานที่ตั้งที่มีศักยภาพสำหรับการสร้าง Data Center ประเทศที่ 11 ของบริษัทจากทั่วโลก และแห่งที่ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ทั้งนี้ ในนามของรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีสำหรับการลงนาม MOU ระหว่าง Google กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) บ่งบอกถึงความสำเร็จครั้งสำคัญในความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อไปสู่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไทยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ และพัฒนาการให้บริการสาธารณะผ่านการเปลี่ยนแปลงบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการลงทุนในไทยของบริษัทฯ อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตารี ยังได้หารือกับบริษัท Microsoft ซึ่งดำเนินธุรกิจ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ Productivity and Business Processes, Cloud (Azure) ครอบคลุมทั้งรูปแบบ Public, Private และ Hybrid และ Personal Computing ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ เช่น คอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป แท็บเล็ต ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ในประเทศไทย

โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีกับบริษัท Microsoft ที่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับรัฐบาลไทย ซึ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของรัฐบาลไทยในการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงการให้บริการสาธารณะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ และปรับปรุงการให้บริการสาธารณะผ่านการเปลี่ยนแปลงบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ขอให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนในประเทศไทย จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลไทย

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลทราบดีว่าพลังงานสะอาด เป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญสำหรับธุรกิจของ Microsoft ในการบรรลุเป้าหมาย ESG ประเทศไทยได้เตรียมกลไกใหม่ที่เรียกว่า Utility Green Tariff (UGT) ที่นำเสนอพลังงานหมุนเวียนพร้อมแหล่งที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ และมาพร้อมกับ REC (ใบรับรองพลังงานทดแทน) ซึ่งกลไกนี้สอดคล้องกับข้อกำหนด RE100 อย่างมีประสิทธิภาพ นายกฯ เชื่อว่าการหารือในวันนี้ จะเป็นสะพานเชื่อมทั้ง 2 ฝ่ายไปสู่โอกาสทางธุรกิจ และการลงทุนในอนาคตอันใกล้นี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ย. 66)

Tags: , , , , ,