บมจ.เงินเทอร์โบ (TURBO) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิมต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 537,000,000 หุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีธนาคารทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ บล.ทิสโก้ และ บล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO
บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ทั้งหมดไม่เกิน 537,000,000 หุ้น คิดเป็น 20.1% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 447,780,000 หุ้น คิดเป็น 16.8% และ (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย KVISION จำนวนไม่เกิน 89,220,000 หุ้น คิดเป็น 3.3%
บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อขยายธุรกิจให้บริการการเงินของกลุ่มบริษัทฯ , เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TORBO เปิดเผยว่า เงินเทอร์โบเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์หรือสามารถเข้าถึงแต่ได้รับบริการไม่ครบถ้วน ภายใต้ความต้องการที่จะเห็นผู้คนในทุกๆ ชุมชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ มีความสมเหตุสมผลที่เข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างแท้จริง โดยในปัจจุบันเงินเทอร์โบ แบ่งการให้บริการออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อ และ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย
เงินเทอร์โบก่อตั้งในช่วงปลายปี 60 โดยเริ่มต้นกิจการในฐานะ Startup เล็กๆ มีทีมงานในวันแรกเพียง 4 คน ทำงานในห้องเช่าซึ่งเดิมเป็นร้านอาหารขนาดไม่ถึง 100 ตารางเมตร เติบโตจนในปัจจุบันจนมีทีมงานคนรุ่นใหม่กว่า 2,300 คน สำนักงานใหญ่มีพื้นที่กว่า 9,950 ตารางเมตร บนที่ดินกว่า 14 ไร่ ให้บริการผ่านเครือข่ายสาขา 892 สาขา กระจายอยู่ในพื้นที่ 52 จังหวัดทั่วประเทศ โดยกลุ่มธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ได้เข้ามาลงทุนเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในช่วงปลายปี 65
จากการที่ลงทุนในเทคโนโลยีของตนเองอย่างต่อเนื่องแบบ Cloud Native เพื่อยกระดับการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ารายย่อย ทำให้ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปี เงินเทอร์โบสามารถเติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นแถวหน้าในอุตสาหกรรม โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย.66 มีสินทรัพย์รวม 10,598 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม 51.3% ต่อปี
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีรายได้รวม 1,088 ล้านบาท หากคิดเป็นรายได้เต็มปีและเทียบกับปี 63 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมที่ 46.1% นอกจากนี้ ธุรกิจนายหน้าประกันภัยก็ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้กว่า 121 ล้านบาทสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 66 หากคิดเป็นรายได้เต็มปีและเทียบกับปี 63 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม 63.5% ต่อปี
การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่เงินเทอร์โบสามารถให้บริการทางการเงินที่ง่าย รวดเร็ว และ สะดวก โดยส่วนใหญ่ลูกค้าจะได้รับอนุมัติสินเชื่อและได้รับเงินภายในวัน อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่มีใบอนุญาตให้คำปรึกษาด้านประกันภัยประจำอยู่ที่สาขา เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการทางการเงินที่ครบถ้วน
นอกจากนี้ เงินเทอร์โบยังให้ความสำคัญกับระบบเทคโนโลยี โดยมีทีมเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินเทอร์โบ สามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ภายในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างขีดจำกัดใหม่ในการทำงานตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เงินเทอร์โบจะยังรักษาข้อได้เปรียบในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงมีต้นทุนในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
เงินเทอร์โบมองว่ายังมีลูกค้ารายย่อยอีกจำนวนมากทั้งในประเทศไทยเองและในภูมิภาคใกล้เคียงที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครบถ้วนได้ ซึ่งเงินเทอร์โบมองเห็นโอกาสที่ชัดเจนในการเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากการเติบโตที่โดดเด่นในอดีตที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัทฯ เงินเทอร์โบจึงวางแผนจะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจผ่านบริการทางการเงินที่หลากหลาย และ พื้นที่บริการที่ครอบคลุม รวมถึงต่อยอดการลงทุนและพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
โครงสร้างผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน มีกลุ่มครอบครัวตั้งมิตรประชา เป็นผู้ถือหุ้นหลัก 1,973.78 ล้านหุ้น คิดเป็น 88.8% หลังการเสนอขายหุ้น IPO และหลังการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ จะลดสัดส่วนเหลือ 72.4% และ บริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด ถือหุ้น 222.22 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% จะลดเหลือ 133 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.9%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 20% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรอง ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.ย. 66)
Tags: IPO, TURBO, หุ้นไทย, เงินเทอร์โบ