สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) ออกเอกสารชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำประชามติ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มาตรา 9 (5) กำหนดการออกเสียงประชามติ กรณีประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียงประชามติ กกต. จึงได้ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกรณีดังกล่าว ดังนี้
1. ต้องมีจำนวนผู้มีสิทธิเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 50,000 คน ซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติไม่มีลักษณะต้องห้าม และไม่ถูกจำกัดสิทธิตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564
2. จัดทำหนังสือกรณีประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียง ต้องมีเนื้อหาที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้ว่าประสงค์จะออกเสียงในเรื่องใด และเรื่องนั้นมิใช่เรื่องที่ต้องห้ามมิให้ออกเสียงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
3. รายชื่อผู้มีสิทธิเข้าชื่อ ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับเลขประจำตัวประชาชน ชื่อ-ชื่อสกุล และลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเข้าชื่อทุกคน พร้อมทั้งจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าชื่อในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ใส่แผ่นบันทึกข้อมูล หรืออุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบพกพา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับเลขประจำตัวประชาชน ชื่อ-ชื่อสกุล ของผู้มีสิทธิเข้าชื่อทุกคน
4. ผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อ ยื่นเอกสารและข้อมูลด้วยตนเองต่อสำนักงาน กกต.ส่วนกลาง หรือสำนักงาน กกต. ประจำจังหวัด หรือทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือจัดส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ E-mail : Saraban@ect.go.th
5. เมื่อสำนักงาน กกต. ได้รับเอกสารและข้อมูลแล้ว จะดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดในหนังสือการเข้าชื่อเสนอต่อครม. เพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียง ว่าถูกต้องตามแบบที่กำหนดหรือไม่ และตรวจสอบจำนวนผู้มีสิทธิเข้าชื่อ ว่าครบถ้วนหรือไม่ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสาร
กรณีผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อ ยื่นเอกสารต่อสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดให้สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดจัดส่งเอกสาร และข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงาน กกต.กลาง ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารและข้อมูล หากตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่าถูกต้องครบถ้วน ก็จะแจ้งผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อทราบโดยเร็ว และสำนักงาน กกต. จัดส่งเอกสารให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีต่อไป
กรณีที่ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องครบถ้วน จะแจ้งผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อ พร้อมทั้งส่งเรื่องคืนเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องครบถ้วน และยื่นต่อสำนักงาน กกต. ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อ 4 ภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง แต่หากผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้การเสนอเรื่องการเข้าชื่อเสนอต่อ ครม. เป็นอันยุติในคราวนั้น
6. เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเอกสารและข้อมูลจากสำนักงาน กกต. แล้ว จะพิจารณามอบหมายหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบการเข้าชื่อของผู้มีสิทธิเข้าชื่อว่ามีความถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยอาจขอให้หน่วยงานของรัฐอื่นสนับสนุนและช่วยเหลือในการตรวจสอบได้ โดยในการตรวจสอบการเข้าชื่อ หากตรวจสอบแล้วพบว่าเลขประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อผู้ใดไม่ถูกต้อง ให้หักออก หากยังมีผู้มีสิทธิเข้าชื่อครบจำนวนตามข้อ 1 จะดำเนินการเสนอรายงาน ต่อครม. ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบในเรื่องที่จะเสนอต่อครม. เพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียงต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากผู้มีสิทธิเข้าชื่อไม่ครบจำนวน จะต้องรายงานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อยุติการเสนอเรื่องต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียง และแจ้งผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อ พร้อมทั้งส่งเรื่องคืนให้ผู้แทนของผู้มีสิทธิเข้าชื่อ และแจ้งสำนักงาน กกต.ทราบ
ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้มีสิทธิเข้าชื่อ ได้จาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มาตรา 20 มาตรา 21 และมาตรา 24
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.ย. 66)
Tags: กกต., ประชามติ, แก้ไขรัฐธรรมนูญ