CIVIL โชว์ Backlog นิวไฮ 2.4 หมื่นลบ.รับรู้ถึงปี 69 ครึ่งปีหลังเน้นบริหารต้นทุน

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีวิลเอนจีเนียริง (CIVIL) เปิดเผยถึง การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยการบริหารต้นทุนการก่อสร้างได้ดีในสภาวะที่ราคาวัสดุมีความผันผวนสูง ส่งผลให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งบริษัทมีความพร้อมเข้ารับงานใหม่ด้วยจุดเด่นการมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง สามารถบริหารสภาพคล่องของโครงการและผู้รับเหมาตามความเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินการและส่งมอบงานเป็นไปตามแผน

ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานด้วยความรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการยึดหลักความปลอดภัยของบุคลากรและแรงงานเป็นสำคัญ โดยการจัดอบรมด้านความปลอดภัย แผนงานป้องกัน และแผนการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเกิดอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้าง

“บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานภายในองค์กร โดยมีแผนการนำเทคโนโลยีระบบใหม่ อาทิ ระบบ RPA (Robotic Process Automation) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ, ระบบ HR TECH ในกระบวนการบริหารงานด้านบุคลากร และ Power BI ระบบติดตามความคืบหน้างานก่อสร้างและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อยกระดับคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว

ขณะที่ บริษัทสามารถดำเนินงานและรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างในมือได้ตามกำหนดเวลา อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา (สัญญาที่ 2-1 สีคิ้ว – กุดจิก) ความคืบหน้า 99% และ โครงการก่อสร้างประเภทรถไฟทางคู่ อีกทั้งบริษัทมีแผนเตรียมเข้ารับงานก่อสร้าง โดยแบ่งเป็นโครงการที่ลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว มูลค่ารวม 11,324 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอลงนามสัญญาอีกหลายโครงการ มูลค่ารวม 12,601 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) จำนวน 23,925 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของบริษัทและสามารถรับรู้รายได้จนถึงปี 2569

ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,170 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,561 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทมีรายได้รวม 2,618 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,112 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 8.4% เป็น 8.5% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดี

“บริษัทยังคงตั้งมั่นในการก้าวสู่เป้าหมายที่ชัดเจนในอนาคต และมุ่งพัฒนาองค์กรไปสู่ความสำเร็จพร้อมกับประเทศ สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ โดยเฉพาะช่วงธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทจะเดินหน้าด้วยกลยุทธ์การดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.) การรักษาความสามารถในการบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้าง พร้อมเพิ่มโอกาสการเข้ารับงานเพื่อเพิ่มการเติบโตของ Backlog อย่างต่อเนื่อง 2.) การเร่งส่งมอบงานเก่าที่สะท้อนราคาต้นทุนเดิมและบริหารโครงการภายใต้ราคาต้นทุนใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3.) มุ่งเน้นการเติบโตผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร อาทิ ธุรกิจพลังงานทดแทน และ อสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นการเสริมสร้างจุดแข็งซึ่งกันและกัน เพื่อขยายโอกาสไปสู่ธุรกิจใหม่ที่ช่วยให้งานก่อสร้างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และ 4.) การพัฒนาศักยภาพองค์กรให้เติบโตไปพร้อมกันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายปิยะดิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 66)

Tags: , ,