สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยบทวิเคราะห์เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจไทย หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย โดยระบุว่า ภารกิจที่รอนายเศรษฐาอยู่ข้างหน้านั้น รวมถึงการทำตามคำมั่นสัญญาที่พรรคเพื่อไทยให้ไว้กับประชาชนในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่ถูกกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19, การเพิ่มรายได้ให้กับภาคครัวเรือน, การสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยซึ่งประกอบไปด้วยประชาชน 71 ล้านคน
เพียง 1 วันก่อนที่นายเศรษฐาจะได้รับการโหวตรับรองจากรัฐสภา สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 2/2566 ขยายตัว 1.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าอาจขยายตัว 3.1% นอกจากนี้ GDP ไตรมาส 2 ยังชะลอลงจากระดับ 2.6% ในไตรมาส 1/2566
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนแอ ขณะที่การส่งออกชะลอตัวลงมากกว่าคาด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ การใช้จ่ายโดยรวมจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังอ่อนแรงลงเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทีมวิเคราะห์ของรอยเตอร์มองว่า นอกเหนือจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยแล้ว การที่ไทยมีหนี้ภาคครัวเรือนในระดับสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยนั้น แม้มีการฟื้นตัวในระดับหนึ่ง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลรักษาการทำหน้าที่บริหารประเทศมาเป็นเวลานานหลายเดือน และสถานการณ์การเมืองไม่แน่นอนภายหลังการเลือกตั้งในเดือนพ.ค. สิ่งที่คณะรัฐบาลชุดใหม่ของไทยจะต้องเร่งดำเนินการคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่ทำผลงานย่ำแย่ที่สุดในเอเชีย
ในการแถลงข่าวครั้งแรกหลังจากได้รับการโหวตรับรองให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันพุธ (23 ส.ค.) นายเศรษฐาให้คำมั่นสัญญาว่าจะเร่งหาทางออกเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจของไทย รวมถึงการใช้มาตรการต่าง ๆ และบริหารจัดการงบประมาณอย่างโปร่งใส
ทีมวิเคราะห์ของรอยเตอร์ระบุว่า การบริหารจัดการงบประมาณมูลค่า 3.35 ล้านล้านบาท (9.596 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับปีงบประมาณ 2567 นั้น จะเป็นภารกิจหลักสำหรับนายเศรษฐา ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการเมืองและเป็นผู้ที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอว่าประสบการณ์ด้านธุรกิจของเขาจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้นได้
ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง นายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนหลายข้อ ซึ่งรวมถึงการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต 5% ในทุก ๆ ปี, ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวัน และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเป็น 3 เท่า
ทางด้านสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยแนะนำว่า ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐาซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยทีมเศรษฐกิจนั้น จำเป็นต้องมุ่งเน้นในเรื่องการลดค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนในภาคเอกชน ซึ่งรวมถึงต้นทุนเชื้อเพลิง ส่วนภารกิจอื่น ๆ นั้น จะรวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงสิ้นปีซึ่งเป็นไฮซีซัน และเร่งกระบวนการการเบิกจ่ายงบประมาณ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ส.ค. 66)
Tags: นายกรัฐมนตรี, รอยเตอร์, เศรษฐกิจไทย, เศรษฐา ทวีสิน