ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดใจ และคาดว่าจะยังคงระดับการลงทุนหรือเพิ่มการลงทุนทองคำต่อไปในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้
ราคาทองคำร่วงลงอย่างหนักในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากหลากหลายปัจจัยลบรุมเร้า ตั้งแต่การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ไปจนถึงการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น แต่ผลสำรวจนักลงทุนซึ่งรวมถึงบรรดาผู้จัดการกองทุนความมั่งคั่งและเฮดจ์ฟันด์พบว่า นักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำในปี 2567
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ไม่พบว่ามีนักลงทุนกลุ่มใดที่วางแผนจะปรับลดการลงทุนในทองคำในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้า และในจำนวนนี้ มีผู้เข้าร่วมการสำรวจ 5 รายที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ ขณะเดียวกันมีผู้เข้าร่วมการสำรวจมากกว่า 2 ใน 3 ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้น และมี 5 รายที่เชื่อมั่นว่าราคาจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นในระหว่างวันที่ 10-22 ส.ค.
ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าเฟดจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนจำนวนหนึ่งยังคงกังวลว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน แต่โดยรวมแล้วตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก และจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในปีหน้า
ดาร์เว่ย คุง หัวหน้าผู้จัดการฝ่ายสินค้าโภคภัณฑ์และพอร์ตโฟลิโอของบริษัทดีดับเบิลยูเอส กรุ๊ป กล่าวว่า “เราคาดการณ์ว่ามีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่เตรียมจะซื้อทองคำเพิ่มในขณะที่รอคอยการยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี ผมคาดว่าราคาทองคำอาจจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,250 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อเวลานั้นมาถึง”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ส.ค. 66)
Tags: Fed, ทองคำ, ราคาทองคำ, อัตราดอกเบี้ย, เฟด