นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง ออกมาเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสินมูลค่ากว่า 1,570 ล้านบาท ของ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เมื่อปี 2562 ซึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดแปลงเดียวที่แพงที่สุดมีเคยมีการซื้อขายในไทยด้วยราคาตารางวาละ 4 ล้านบาท โดยพบพฤติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีมูลค่ากว่า 521 ล้านบาท
ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นของนายพจน์ สารสิน และได้โอนให้กับทายาท และขายให้กับท่านผู้หญิงนงเยาว์จำนวนพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 399.7 วา และได้มีการขายต่อให้กับนางประไพในปี 2507 และได้โอนพื้นที่แปลงนี้มายังบริษัท ประไพทรัพย์ เมื่อปี 2527
โฉนดที่ดินแปลงนี้มีผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ 12 คน ถ้ามีการโอนทั้ง 12 คน ภายใน 1 วัน จะถือเป็นคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ทำให้ต้องมีการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงปลายปี และต้องเสียภาษีให้กรมที่ดินจำนวน 59.2 ล้านบาท แต่กลับพบว่า ไม่มีการจ่ายภาษีสรรพากร ภงด.90 อัตราก้าวหน้า 35% มูลค่า 521 ล้านบาท ทำให้รัฐไม่ได้ภาษีตรงนี้ เนื่องจากทั้ง 12 คนไปโอนแยก 12 วัน เมื่อแยกโอนก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์เป็นคณะบุคคล และจ่ายภาษีให้กรมที่ดินแค่ 59.2 ล้านบาทเท่านั้น เรื่องนี้ถือเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เพราะมีการโอน 12 วันติดต่อกัน
นอกจากนี้ยังพบความผิดปกติในโฉนดที่ระบุถึงเงินมัดจำค่าที่ดินแต่ละวันไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้เงินสดมากกว่า 50% ในการวางมัดจำ ซึ่งเป็นเงินครั้งละกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งพบความผิดปกติ เพราะเงินจำนวนมากขนาดนี้จะต้องจ่ายด้วยเช็คแต่ครั้งนี้เป็นเงินสด
นายชูวิทย์ กล่าวว่า กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ยังไม่ได้ทำความเสียหายให้กับรัฐแม้แต่บาทเดียว แต่กลับไม่มีคุณสมบัติเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายเศรษฐาร่วมกระทำความผิด โดยการหลีกเลี่ยงภาษีให้ผู้ขาย 521 ล้านบาท ทำให้รัฐไม่ได้เงิน เรื่องนี้คนขายทำคนเดียวไม่ได้ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง แต่ถ้าคนซื้อเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มีความเชี่ยวชาญในการซื้อที่ดินทั่วประเทศในนามบริษัท แสนสิริ
“จะปฏิเสธไม่ได้ว่า วิธีการนี้ทำให้ผู้ขายเลี่ยงภาษีได้ 521 ล้านบาท ผู้ซื้อไม่รู้เรื่องนี้ เป็นการกระทำของผู้ขายเท่านั้น เพราะถ้าผู้ขายเสนอวิธีการขายแบบนี้ ผู้ซื้อย่อมไม่กระทำ เพราะการโอน 12 คน แบ่งเป็นแต่ละวัน เป็นการสมรู้ร่วมคิด กระทำความผิดอย่างชัดเจน นายเศรษฐากลายเป็นผู้กระทำความผิด เพราะนายเศรษฐาซื้อที่ดินในปี 62 ราคาประเมิน 1 ล้านบาทต่อตารางวา แต่ไม่มีทางที่เป็น 4 ล้านบาท” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวว่า วันที่นายเศรษฐายังเป็นผู้บริหาร บมจ.แสนสิริ มีการทำรายงานการประชุม โดยนายเศรษฐาเป็นคนเซ็นเมื่อวันที่ 14 ส.ค.62 รับรองสำเนาการประชุมถูกต้อง โดยทำรายงานวันเดียวฉบับเดียว แต่แตกออกมาเป็น 12 วัน ซึ่งพฤติการณ์ของนายเศรษฐาแสดงให้เห็นว่า มีการร่วมมือกันกับคนขายเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
หากจะมาอ้างว่าไม่ทราบเรื่องนี้ แต่บริษัทเป็นบริษัทมหาชน มีฝ่ายกฏหมาย มีการซื้อขายที่ดินทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด มีความเชี่ยวชาญซื้อที่ดินมากี่แปลง การไปร่วมสมคบคิดแบบนี้ นายเศรษฐาในฐานะประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการฯ ได้เซ็นรับรองการประชุม และหากนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี จะไม่ช่วยนายทุนหรือช่วยเลี่ยงภาษีเป็นไปได้หรือไม่ เพราะแค่ตรงนี้ยังช่วยเลย และย้ำว่า นายเศรษฐาไม่มีทางบริสุทธ์ได้ ซึ่งก็เป็นแบบเดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
“ถ้านายเศรษฐาที่เป็นนายทุนบริษัทแสนสิริยังกระทำการแบบนี้ได้ ท้ายสุดประเทศไทยจะได้นายกฯเป็นนายทุน ซึ่งหลบเลี่ยงภาษี” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ ยืนยันว่า ที่ออกมาแฉเรื่องนี้ ส่วนตัวไม่ได้โกรธเคืองกับนายเศรษฐาอย่างที่แอบอ้าง เป็นการแฉเพื่อชาติ ซึ่งภายในพรรคก็ไม่ค่อยมีใครชอบนายเศรษฐา เพราะมาในฐานะตั๋วกู ไม่ใช่ตั๋วช้าง อีกทั้งนายเศรษฐาเป็นคนปากไว ใจร้อน อีโก้สูง และตนรับไม่ได้กับพฤติการณ์เล่นแร่แปรธาตุของนายทุน พร้อมกับจะตั้งคำถามไปยัง สว.ว่าจะยังโหวตให้กับนายเศรษฐาหรือไม่ หลังจากนี้จะนำข้อมูลไปยื่นต่อประธานรัฐสภา และนำข้อมูลให้กับพรรคก้าวไกลด้วย รวมไปถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบ และเรื่องนี้สามารถเอาผิดนายเศรษฐาได้ด้วย
นายชูวิทย์ กล่าวว่า เมื่อเช้าไปฉีดคีโมมา มีเวลาไม่เยอะบนโลกใบนี้ ชีวิตเป็นเส้นด้ายอาจเป็นเส้นสุดท้าย ดังนั้นเหตุผลแถลงครั้งนี้ มีความพยายามไม่ให้ตนเองพูดทุกวิธีทาง มีการใส่ร้าย แต่คงไม่ต้องแก้ตัวแล้ว ใครจะพูดนินทาก็ให้พูดไปเลย เพราะไม่มีต้นทุน แต่คนมีต้นทุนมากที่สุด คือ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะไปบอกกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
หากพรรคเพื่อไทยจะมีการเปลี่ยนแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีควรเป็นนายชัยเกษม นิติสิริ มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย และมีอายุมากแล้วคงไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ส่วน น.ส.แพทองธาร ชินวิตร เห็นว่า ยังมีเรื่องผลประโยชน์ที่อาจพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นายทักษิณกลับไทย
นายชูวิทย์ ยืนยันว่า ที่ดินของตนขายไป 3 ปีที่แล้วให้กับบริษัท ไรมอนแลนด์ ซึ่งการที่กล่าวหาที่ดินจะขายให้กับแสนสิริ แต่ขายไม่ได้ถึงโกรธนั้นไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ บมจ.แสนสิริ ไม่ซื้อที่ดินโดยตรงกับเจ้าของ จะมีตัวกลาง คือ ขงเบ้ง และมีความแยบยลที่ปั่นราคาที่ดิน โดยขอให้ติดตามใน EP ถัดไป
ในการแถลงข่าวครั้งนี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาฟังข้อมูลของนายชูวิทย์ โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า เตรียมประสานขอข้อมูลในวันนี้ เพื่อนำไปตรวจสอบคุณสมบัติของแคนดิเดทนายกฯ หากเข้าข่ายการกระทำความผิด จะดำเนินการทันที แต่ตอนนี้ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ส.ค. 66)
Tags: SIRI, การเมือง, ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, ซื้อขายที่ดิน, ถนนสารสิน, หลบเลี่ยงภาษี, แสนสิริ