นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เป็นประธานการประชุมสรุป (ร่าง) แผนแม่บททางหลวงพิเศษระหว่างเมือง การศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Pre-Feasibility Study) ภายใต้การศึกษาแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) และระบบราง (Motorway-Rail Map) หรือ MR-MAP
โดยกรมทางหลวง ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล คอนซัลแต้นส์ จำกัด ร่วมกับ บมจ. ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ (TEAMG) ทำการศึกษาโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2564 วงเงิน 55 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง กำหนดส่งผลการศึกษาปลายปี 2566 นี้ จากนั้นจะนำเสนอกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบโครงการตามผลศึกษาต่อไป
นายปิยพงษ์ กล่าวว่า การศึกษาแผนแม่บท MR-MAP เป็นการปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองปี 2559 บูรณาการกับแผนพัฒนาระบบราง โดยวางแผนการพัฒนาพร้อมกัน แต่ไม่จำเป็นต้องก่อสร้างพร้อมกัน โดยขึ้นอยู่กับแผนปฏิบัติการของหน่วยงานที่รับผิดชอบแต่ละโครงการ
ทั้งนี้ การศึกษาและวางแผนโครงการพร้อมกัน จะทำให้ใช้เขตทางที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ทั้งโครงการมอเตอร์เวย์ และรถไฟ, ลดการเวนคืนพื้นที่ และการแบ่งแยกชุมชน, พัฒนาความเจริญไปสู่พื้นที่ใหม่, ปรับปรุงการเชื่อมต่อโครงข่าย, เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ซึ่งการวางแผนและก่อสร้างมอเตอร์เวย์ควบคู่กับทางรถไฟไปด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการจราจรและขนส่งสูงสุด และเชื่อมโยงโครงข่ายกับประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุน
โดยการศึกษาเบื้องต้น แผนแม่บท MR-MAP มี 10 เส้นทาง (แนวเหนือ-ใต้, ตะวันออก-ตะวันตก, เชื่อมต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล) มีระยะทางรวมประมาณ 6,877 กม. (มีโครงข่ายมอเตอร์เวย์ที่เปิดให้บริการแล้ว และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 670 กม.) และมีแผนพัฒนาเป็นมอเตอร์เวย์ร่วมกับระบบราง 3,543 กม. ประเมินว่าจะลดพื้นที่เวนคืนได้ 135,000 ไร่ และลดค่าเวนคืนได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท
สำหรับแผนพัฒนา แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
– แผนระยะสั้น 5 ปี เริ่มก่อสร้าง ปี 66-70 จำนวน 9 โครงการ ระยะทางรวม 391 กม. มูลค่า 457,000 ล้านบาท ได้แก่
1.โครงการส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. ก่อสร้าง ปี 68 เปิดให้บริการปี 71
2.โครงการบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 35.85 กม. ก่อสร้างปี 68 เปิดให้บริการปี 71
3.โครงการบางบัวทอง-บางปะอิน ระยะทาง 34.10 กม. ก่อสร้างปี 68 เปิดให้บริการปี 71
4.ทางเชื่อมต่อถนนวงแหวนฯรอบที่ 2 ด้านตะวันตกและตะวันออก ระยะทาง 4.20 กม. ก่อสร้างปี 68 เปิดให้บริการปี 71
5.เส้นทางนครปฐม-ปากท่อ ระยะทาง 61.02 กม. ก่อสร้างปี 68 เปิดให้บริการปี 72
6.เส้นทางสงขลา-สะเดา ระยะทาง 69 กม. กำหนดก่อสร้างปี 70 เปิดให้บริการปี 74
7.ทางพิเศษจตุโชติ-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯรอบที่3 (ด้านตะวันออก) ระยะทาง 19 กม. ก่อสร้างปี 67 เปิดให้บริการปี 70
8.เส้นทางวงแหวนฯ รอบที่ 3 ด้านตะวันออกช่วงทล.305-ทล.34 ระยะทาง 52 กม. ก่อสร้างปี 70 เปิดให้บริการปี 73
9.เส้นทางชุมพร-ระนอง ระยะทาง 94 กม. ก่อสร้าง ปี 70 เปิดให้บริการปี 73
– แผนระยะกลาง 10 ปี เริ่มก่อสร้าง ปี 71-75 จำนวน 5 โครงการ ระยะทาง 397 กม. มูลค่า 413,200 ล้านบาท ได้แก่
1.นครปฐม-สุพรรณบุรีระยะทาง 70.22 กม.
2.แหลมฉบัง-ปราจีนบุรีระยะทาง 156 กม.
3.วงแหวนฯ รอบที่ 3 ด้านตะวันออก ช่วงทล.32 – ทล.305 ระยะทาง 67.81 กม.
4.วงแหวนฯ รอบที่ 3 ด้านใต้ ช่วงทล.35 – ทล.35 ระยะทาง 79.07 กม.
5.วงแหวนฯ รอบที่ 3 ด้านตะวันตก ช่วงทล.35 – นครปฐม ระยะทาง 24.26 กม.
– แผนระยะยาว 11-20 ปี เริ่มก่อสร้าง ปี 76-85 จำนวน 9 โครงการ ระยะทาง 1,138 กม. มูลค่า 775,900 ล้านบาท โดยแผนภาพรวมมีดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ (EIRR) 13.77%
ส่วนแผนพัฒนาระบบราง ประกอบด้วย รถไฟทางคู่ รถไฟสายใหม่รถไฟความเร็วสูง โดยกำหนดแผนพัฒนา 3 ระยะ คือ
– ระยะ 5 ปี (2566-2570) ระยะทางรวม 2,048 กม. มูลค่าลงทุน 601,500 ล้านบาท
– ระยะ 10 ปี (2571-2575) ระยะทางรวม 958 กม. มูลค่าลงทุน 560,600 ล้านบาท
– ระยะ 20 ปี (2576-2585) ระยะทางรวม 2,959 กม.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ค. 66)
Tags: กรมทางหลวง, ปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล