นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนมิ.ย.66 และครึ่งปีแรก 2566 (ม.ค.-มิ.ย.66)
*ธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งใหม่
มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้ง 7,626 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 14.49% (มิ.ย.65 อยู่ที่ 6,661 ราย) โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 39,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 91.75% (มิ.ย.65 อยู่ที่ 20,744 ล้านบาท)
โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 598 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 591 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 338 ราย คิดเป็น 4%
ขณะที่ ธุรกิจจัดตั้งใหม่ครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.66) มีจำนวน 47,286 ราย เทียบกับครึ่งปี 2565 จำนวน 40,301 ราย เพิ่มขึ้น 6,985 ราย คิดเป็น 17.33% โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 3,601 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,499 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,197 ราย คิดเป็น 5%
มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ครึ่งปีแรก มีจำนวนทั้งสิ้น 428,647.49 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปี 2565 จำนวน 280,604.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148,042.70 ล้านบาท คิดเป็น 53%
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยในหลายๆ ด้าน เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรก 2566 มีจำนวนการจดจัดตั้งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 81.20% มีสัดส่วนคิดเป็น 7.99% ของจำนวนธุรกิจที่จัดตั้งทั้งหมดในครึ่งปีแรก
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตถึง 2.5 เท่า ได้แก่ ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เติบโตถึง 2.57 เท่า คาดว่าเป็นผลจากที่ธนาคารกลางหลายประเทศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลต่อนโยบายทางการเงินและค่าเงินของแต่ละประเทศ ประกอบกับการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ทำให้ความต้องการแลกเปลี่ยนเงินตราเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช เติบ 2.54 เท่า คาดว่าเป็นผลจากนโยบาย BCG Model ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก โดยจะมีการสนับสนุนปัจจัยการผลิตและเครื่องจักกลการเกษตร จากกรมการข้าว
*ธุรกิจเลิกประกอบกิจการ
สำหรับธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมิ.ย.66มีจำนวน 1,659 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 13.40% (มิ.ย.65 อยู่ที่ 1,463 ราย) โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 6,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 21.80% (มิ.ย.65 อยู่ที่ 5,168 ล้านบาท) สอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 169 ราย คิดเป็น 10%, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 91 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 50 ราย คิดเป็น 3%
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.66) มีจำนวน 7,097 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 49,604.72 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 772 ราย คิดเป็น 11% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 364 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 202 ราย คิดเป็น 3%
ทั้งนี้ ส่งผลให้ยังมีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 30 มิ.ย.66 ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 882,055 ราย มูลค่าทุน 21.41 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 203,488 ราย คิดเป็น 23.07% บริษัทจำกัด 677,156 ราย คิดเป็น 76.77% และบริษัทมหาชนจำกัด 1,411 ราย คิดเป็น 0.16%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ก.ค. 66)
Tags: กระทรวงพาณิชย์, จดทะเบียนธุรกิจ, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์