กลุ่ม FPT ทุ่ม 3 หมื่นลบ.3 ปีลุยขยายพอร์ตไทย-เวียดนาม-อินโดฯ เพิ่มพื้นที่คลังแตะ 4 ล้านตร.ม.

นายโสภณ ราชรักษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) (FPIT) ในเครือ บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงสร้างการเติบโตในการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับตอกย้ำสถานะผู้ให้บริการโรงงาน-คลังสินค้าสมัยใหม่อันดับ 1 ของอาเซียน ด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 3.5 ล้านตารางเมตรในปัจจุบัน อัตราการเช่าเฉลี่ยสูงถึง 85%

ขณะที่กลุ่ม FPT วางงบลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 ปี (67-69) เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการตามเป้าหมายภายใน 3 ปี หรือภายในปี 69 เป็น 4 ล้านตารางเมตร โดยจะเน้นการพัฒนาพื้นที่อาคารอุตสาหกรรมในประเทศเฉลี่ย 150,000 ตารางเมตร/ปี ในเวียดนามเพิ่มขึ้น 100,000 ตารางเมตร/ปี และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 40,000-50,000 ตารางเมตร/ปี โดยยังครองความเป็นผู้นำธุรกิจอาคารอุตสาหกรรม พร้อมผลักดันรายได้จากค่าเช่าอาคารอุตสาหกรรมเพิ่มเป็น 7 พันล้านบาท/ปี จากปัจจุบันที่ 5.6 พันล้านบาท/ปี

สำหรับในปีนี้ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบอาคารไปแล้วรวมพื้นที่ 140,000 ตารางเมตร โดยทั้งหมดเป็นอาคารแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า ส่วนธุรกิจในต่างประเทศทั้งนิคมอุตสาหกรรมและคลังสินค้าที่เมืองบินห์เยือง ประเทศเวียดนาม และโครงการโลจิสติกส์เซ็นเตอร์ ในเมืองคาราวัง เมืองมากัซซาร์ และเมืองบันจาร์มาซิน ประเทศอินโดนีเซีย มีจำนวนลูกค้าและอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

พร้อมกับพัฒนาโซลูชันสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ เพื่อเติมเต็มดีมานด์ใหม่ของตลาด ด้วยการพัฒนาอาคารอุตสาหกรรม “แบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้” (Built-to-Function) ที่จะพร้อมให้บริการเร็วๆนี้ พื้นที่ 50,000 ตารางเมตร และจะขยายเพิ่มใน 3 ปี เป็น 150,000 ตารางเมตร ซึ่งรองรับลูกค้ากลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ที่เชี่ยวชาญสินค้าหรือบริการเฉพาะทาง และลูกค้าองค์กรทั่วไปที่ต้องการใช้อาคารเฉพาะทางพร้อมใช้ โดยเพิ่มเติมความเหนือระดับเข้าไปในอาคาร Ready-Built ด้วยการเสริมมาตรฐานและฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การดำเนินงานของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเพิ่มคุณสมบัติทางด้านความยั่งยืนให้เป็นฟังก์ชันมาตรฐานสำหรับอาคารรูปแบบนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสการขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เป็นโลจิสติกส์ขนาดเล็กในเมือง เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาอาคารขนาดเล็ก แต่ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถกลับเข้ามาใชิประโยชน์พื้นที่ในเมืองได้ ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความรวดเร็วในการขนส่ง โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ช ที่ต้องการใช้เวลาการจัดส่งเร็ว 1-2 วัน ซึ่งบริษัทได้นำพื้นที่อาคารขนาดเล็กในเมืองมาปรับปรุงเป็นอาคารอุตสาหกรรม พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร เดินทางมาสู่โซน CBD กรุงเทพฯได้เพียง 15 นาที ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้

ขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อมถือเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการออกแบบและพัฒนาอาคารสีเขียวที่มีความยั่งยืนมายกระดับมาตรฐานอาคารอุตสาหกรรม สู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 โดยพัฒนาอาคารตามมาตรฐานสากล อาทิ LEED และ EDGE อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอาคารที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับ Gold Silver และ Certified รวมพื้นที่กว่า 500,000 ตารางเมตร พร้อมทั้งตั้งเป้าพัฒนาอาคารใหม่และปรับปรุงอาคารเดิมให้ได้มาตรฐานสีเขียวระดับสากล ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และก้าวไปสู่ Net Zero Community พร้อมกัน ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มช่องทางของแหล่งเงินทุนใหม่ๆ เช่น การออกหุ้นกู้สีเขียว(Green Bond) หรือการได้รับการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ส่วนแผนการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (FTREIT) วางแผนจะขายสินทรัพย์ที่เป็นพื้นที่เช่าอาคารอุตสาหกรรมของ FPIT มูลค่าเฉลี่ย 1.5 พันล้านบาท/ปี และยังมีการซื้อสินทรัพย์พื้นที่เช่าอาคารอุตสาหกรรมจากพันธมิตรรายอื่นของกอง FTREIT เข้ามาเฉลี่ย 1.5 พันล้านบาท/ปี

ด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่กำลังพิจารณาเข้ามาสงทุนในประเทศไทยนั้น ในปัจจุบันยอมรับว่าอาจจะมีความสับสนเชิงจิตวิทยาจากความไม่ชัดเจนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังมีการชะลอการตัดสินใจเข้ามาลงทุนไปบ้าง เพื่อรอดูความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล และการออกนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนออกมาแต่มองภาพในระยะยาวประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามา จากการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ระบบโครงสร้างพี้นฐาน และระบบคมนาคมขนส่ง ที่เพรียบพร้อมรองรับบริการโลจิสติกส์ที่ครบวงจร เชื่อมต่อกับหลายๆประเทศในอาเซียน และอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนของผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในจีน ทำให้ประเทศไทยจะได้รับอานิสงส์มากในภาคอุตสาหกรรม และเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของ FPIT ที่จะมีการเข้ามาใช้บริการเช่าพื้นที่อาคารอุตสาหกรรมมากขึ้นในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.ค. 66)

Tags: , , ,