สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 4% ในวันพฤหัสบดี (22 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาด และนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
- ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 3.02 ดอลลาร์ หรือ 4.16% ปิดที่ 69.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 2.98 ดอลลาร์ หรือ 3.86% ปิดที่ 74.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งหลุดจากระดับ 70 ดอลลาร์ หลังจากคณะกรรมการ BoE มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25%
ทั้งนี้ BoE ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกันเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้นแตะระดับ 7.1% ในเดือนพ.ค ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2535
ขณะที่นายพาวเวลได้แถลงต่อสภาคองเกรสเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ตามเวลาไทย โดยย้ำว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีนี้ หากเศรษฐกิจปรับตัวตามที่คาดการณ์ไว้ พร้อมเสริมว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คิดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ในกรอบ 5.50-5.75%
นักลงทุนกังวลว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน โดยความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มิ.ย. 66)
Tags: WTI, น้ำมัน WTI, ราคาน้ำมัน