KKP เตือนไทยเตรียมรับมือ หลังเศรษฐกิจจีนเริ่มโตแผ่ว

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจีนในปีนี้และในระยะต่อไป กำลังเผชิญความท้าทายอย่างมาก และการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะไม่ได้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนทศวรรษที่ผ่านมา การฟื้นตัวที่แผ่วบางของจีนไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราวในระยะสั้น แต่สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และเริ่มส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงนี้

ประเด็นที่น่ากังวล คือ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนสูง ทั้งจากภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกทำให้การชะลอตัวของจีนในรอบนี้ จะส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงในระยะยาว

โดยเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจรายเดือนในแต่ละด้านของจีน สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของจีนยังซบเซา และกระจุกอยู่เฉพาะการบริโภคในภาคบริการเท่านั้น แม้ว่าตัวเลขยอดค้าปลีกและตัวเลขการผลิตในภาคอุตสาหกรรม จะฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ทิศทางของการฟื้นตัวเริ่มมีทิศทางที่ชะลอลงต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ดัชนีการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจจีน โดยมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจกว่า 30% ของ GDP กำลังหดตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตัวเลขการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในเดือนพ.ค.66 หดตัวกว่า 21% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มีเพียงเครื่องชี้วัดภาคการบริการ ที่แนวโน้มขยายตัวสวนทางกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆของจีน

KKP Research ประเมินว่า การฟื้นตัวที่แผ่วบางของจีนไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราวในระยะสั้น แต่สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานและเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจ หลายปัจจัยเชิงโครงสร้างกำลังสร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ

1. ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนกำลังประสบปัญหาจากความเสี่ยงที่โครงการหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้นได้ โดยมีสาเหตุจากผู้ประกอบการอสังหาฯ ในจีนมีการใช้รายรับจากยอด pre-sale หรือยอดขายก่อนที่โครงการจะสร้างเสร็จ จากโครงการใหม่มาใช้จ่ายในโปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เมื่อยอด pre-sale ในจีนมีทิศทางที่ชะลอตัวลงจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้โครงการที่กำลังสร้างอยู่ต้องหยุดชะงัก และส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคถูกบั่นทอนจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้อัตราการออมในภาคครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนมีการลดสัดส่วนของการบริโภค และเพิ่มสัดส่วนของการออมมากขึ้น

2. ภาคการส่งออกที่กำลังถูกกดดันจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก และผู้ประกอบการสหรัฐฯ กำลังลดสัดส่วนการนำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ ฯ และจีนในหลายประเด็นในช่วงที่ผ่านมา

3. อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มจบใหม่ จากการชะลอตัวในภาคอสังหาฯ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญกับนโยบายภาครัฐที่เข้มงวดมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่รองรับการจ้างงานกลุ่มแรงงานจบใหม่

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ ทำให้ตลาดคาดว่าทางการจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมามากขึ้น และจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องได้ แต่ KKP Research ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นแบบเดิม โดยการอัดฉีดสภาพคล่องจะมีผลต่อเศรษฐกิจน้อยลง เพราะปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยการชะลอตัวของการลงทุนเป็นผลมาจากการเติบโตของจีนที่พึ่งพาการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานมากเกินความต้องการของเศรษฐกิจจริง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงเรื่อยๆ และมีการสะสมปริมาณหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการอัดฉีดสภาพคล่อง จะช่วยบรรเทาปัญหาความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ แต่แนวโน้มการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะไม่สามารถเติบโตได้ดีเหมือนในอดีตจากอุปสงค์ที่แท้จริงที่กำลังหายไป

KKP Research ประเมินว่า นโยบายที่จะตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า คือ นโยบายที่สนับสนุนให้ภาคการบริโภคเป็นเครื่องยนต์หลักของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการยกระดับของรายได้ภาคครัวเรือนให้มากขึ้น ซึ่งภาครัฐจีนได้เห็นถึงปัญหาของการพึ่งพาการลงทุนที่มากเกินไป และได้ประกาศในแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปีฉบับล่าสุดแล้ว ว่าจีนจะหันมาพึ่งพาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาคการบริโภค และการพัฒนานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การปรับสมดุล (rebalance) เศรษฐกิจจีน โดยการเพิ่มบทบาทของการบริโภคภาคครัวเรือน จะยังเผชิญกับความท้าทายที่สูง และทำให้สำเร็จได้ยากในระยะสั้น จากหลายเหตุผล คือ 1. ปริมาณหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้นจากสัดส่วนรายได้ครัวเรือนที่ลดลง 2. แรงกดดันต่อมูลค่าสินทรัพย์ และรายได้ของครัวเรือนจากการชะลอตัวของภาคอสังหาฯ และภาคการส่งออก 3. นโยบายกระจายรายได้จะทำได้ยาก หากเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว เพราะอาจกระทบความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มความขัดแย้งทางการเมือง และ 4. ภาคการบริโภคกำลังมีขนาดเล็กลงจากจำนวนประชากรหดตัว

KKP Research มองว่า การเติบโตที่ชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ค่อนข้างมาก จากการที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพาจีนในสัดส่วนที่สูง โดยในระยะสั้น ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี คือ ภาคการท่องเที่ยวซึ่งแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะทยอยกลับเข้ามา แต่ยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงปี 2562 อยู่ค่อนข้างมาก

ขณะเดียวกัน ยังคงประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน จะยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่หากสถานการณ์ภายในเศรษฐกิจจีนชะลอตัวต่อเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้อาจต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ที่ 5 ล้านคน

นอกจากนี้ผลกระทบต่อไทย จะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ผลลบในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะสร้างความท้าทายในระยะยาวต่อธุรกิจไทยที่พึ่งพาตลาดของจีนสูง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไทยที่พึ่งพาภาคการลงทุน และภาคการส่งออกของจีนในสัดส่วนสูง หากเศรษฐกิจจีนไม่ได้เติบโตในระดับสูงเหมือนเดิม หรือมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 มิ.ย. 66)

Tags: , , ,