นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า ในระยะใกล้นี้ การใช้จ่ายของผู้บริโภคจีนจะยังไม่ฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด โดยสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ ซึ่งรวมถึงสตาร์บัคส์ โดยไม่เพียงแค่ผู้บริโภคเท่านั้นที่เริ่มระวังการใช้จ่าย แต่ยังรวมถึงการมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย
มอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า ปัจจัยที่ฉุดรั้งภาคการบริโภคของจีนในปีนี้มี 3 ประการ โดยประการแรกคือ จีนไม่ได้ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกับสหรัฐและประเทศอื่น ๆ ที่แจกเงินให้กับประชาชนเพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
ประการที่ 2 คือ การที่จีนใช้นโยบายควบคุมโควิด-19 อย่างเข้มงวดเป็นเวลานานและเพิ่งจะมีการผ่อนคลายนโยบายในช่วงปลายปี 2565 นั้น ได้ส่งผลให้การจ้างงานในภาคบริการหายไปราว 30 ล้านตำแหน่ง โดยแม้ว่าตำแหน่งงาน 20 ล้านตำแหน่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาภายในปีนี้และปีหน้า แต่นักวิเคราะห์ยังคงเชื่อว่าการฟื้นฟูตำแหน่งงานอีก 10 ล้านตำแหน่งที่เหลืออาจต้องใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากผลกระทบของมาตรการควบคุมธุรกิจด้านการศึกษา อินเทอร์เน็ต เทคโนโลยี และอสังหาริมทรัพย์ของจีน
ประการสุดท้ายคือ ตลาดที่อยู่อาศัยของจีนชะละอตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลออกมาตรการควบคุมการเก็งกำไร
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2563-2565 ได้ฉุดเศรษฐกิจจีนถดถอยลง และหลังจากที่จีนยกเลิกการบังคับใช้มาตรการเหล่านี้อย่างกะทันหันในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า หลังจากที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคจีนปรับตัว 9% ในปีนี้ ก็คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.8% ในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แพร่ระบาดอยู่ประมาณ 0.5%
สำหรับสตาร์บัคส์นั้น นักวิเคราะห์คาดว่ายอดขายในจีนจะเติบโตประมาณ 7% ในปีนี้ แต่ยังคงต่ำกว่าปี 2562
นอกจากนี้ การแข่งขันในท้องถิ่นที่เพิ่มสูงขึ้น ยังสร้างความลำบากให้กับการเติบโตของแบรนด์จากต่างประเทศ โดยรายงานระบุว่า ในเดือนเม.ย. จีนมีจำนวนร้านกาแฟในประเทศเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบรายปี โดยเกือบทั้งหมดเป็นแบรนด์ภายในประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 พ.ค. 66)
Tags: จีน, ผู้บริโภค, มอร์แกน สแตนลีย์, สตาร์บัคส์