นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 กลุ่มภาคเอกชนไทยได้มีการประชุมร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเวียดนามในเรื่องการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าและการเสนอราคาชั่วคราว ซึ่งผลการเจรจาไปในทิศทางที่ดี โดยทางรองนายกฯ ได้เร่งรัดให้มีการออกใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า (Electricity Generation License : EGL) ให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอผลการเจรจาค่า FIT ใหม่ และให้เร่งรัดการจ่ายไฟฟ้าทันทีสำหรับโครงการที่ได้รับ EGL แล้ว โดยเสนอให้นักลงทุนรับค่าไฟฟ้าจากทาง EVN ในอัตรา 50% ของราคาสูงสุดที่ได้มีการประกาศไว้ (6.9 US cent) และเมื่อได้ผลสรุปราคา FIT ทาง EVN ก็จะจ่ายคืนส่วนต่างทั้งหมดให้ ซึ่งจะทำให้โครงการของ EP ทั้ง 4 โครงการ สามารถเชื่อมต่อและจ่ายไฟฟ้าได้ทันที
“การที่ทางรองนายกฯเวียดนามได้มีข้อเสนอการจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราชั่วคราว เนื่องจากในช่วงเดือนกรกฎาคม ทางเวียดนามจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาก และกำลังผลิตที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ทำให้มีโอกาสขาดแคลนไฟฟ้าขึ้น จึงจะต้องเร่งสรุปให้มีการจ่ายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วโดยเร็วที่สุด โดยได้ตั้งเป้าหมายให้โครงการที่พร้อมสามารถดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายในการออก EGL เพื่อการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภายในเดือนมิถุนายน 2566 ดังนั้น โครงการที่มีความพร้อม ก็จะสามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ทันที
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (วินด์ฟาร์ม) ขนาดกำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย โครงการในจังหวัด Gia Lai ขนาดกำลังผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ และโครงการในจังหวัด Huong Linh ขนาดกำลังผลิตรวม 60 เมกะวัตต์ ปัจจุบันได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ทุกโครงการแล้ว มีความพร้อมที่จะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ได้รับการอนุมัติการเชื่อมต่อจากทาง EVN และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 66 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ในส่วนของการขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเมื่อปลายปี 64 ซึ่งทางผู้ซื้อได้มีการหักเงินจากมูลค่าซื้อขายไว้บางส่วน อันเนื่องมาจากการที่บริษัท PPTC และ SSUT มีคดีเรียกร้องความเสียหายจากทางกลุ่มผู้รับเหมานั้น ทางอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดออกมาให้ทาง PPTC และ SSUT ได้รับเงินชดเชยความเสียหายจากทางกลุ่มผู้รับเหมา รวม 534.52 ล้านบาท
ขณะที่ค่างวดก่อสร้างค้างจ่ายที่ได้บันทึกบัญชีไว้แล้ว ทางอนุญาโตตุลาการ ก็มีคำชี้ขาดให้ทาง PPTC และ SSUT จ่ายคืนแก่กลุ่มผู้รับเหมาในจำนวนรวมที่ต่ำกว่าที่บันทึกบัญชีเอาไว้ โดยทาง PPTC และ SSUT ได้ยื่นคำร้องขอบังคับตามคำชี้ขาดไปแล้ว อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มผู้รับเหมาได้ใช้สิทธิในการฟ้องร้องเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวต่อศาลแพ่ง และเรื่องทั้งหมดกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ทาง EP จะได้รับเงินที่หักสำรองไว้คืน พร้อมกับเงินส่วนเกินทั้งหมดที่ได้มาจากการเรียกร้องจากกลุ่มผู้รับเหมา และส่วนต่างของค่างวดที่ต้องจ่ายจริง ที่ต่ำกว่าที่ได้บันทึกบัญชีไว้ รวมทั้งสิ้นกว่า 800 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 66 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 50% โดยเฉพาะธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดว่าจะมีการเติบโตรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า เนื่องจากจะมีรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการติดตั้ง Solar Rooftop, Solar farm และการขายไฟฟ้าให้เอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปีนี้อัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ความต้องการติดตั้งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทสามารถขายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนได้มากขึ้นด้วย
อนึ่ง ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ 38.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.02% จากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 20.93 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการติดตั้ง Solar rooftop เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม EP รายงานว่ามีผลขาดทุนสุทธิเพิ่มเป็น 113.08 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 82.76 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 พ.ค. 66)
Tags: EP, ยุทธ ชินสุภัคกุล, หุ้นไทย, อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป, โรงไฟฟ้า