MINT เผย EBITDA Q1/66 โตกว่า 2 เท่าตามความต้องการเดินทาง-ลูกค้าร้านอาหารเพิ่ม

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาส 1/66 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี EBITDA จากการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่จำนวน 6.9 พันล้านบาท จากจำนวน 2.7 พันล้านบาทในไตรมาส 1/65 (เพิ่มขึ้น 150% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยความต้องการในการเดินทางที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและจำนวนลูกค้าร้านอาหารที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการดำเนินกลยุทธ์การกำหนดราคาค่าห้องพักเชิงรุกและการเพิ่มจำนวนโรงแรมและร้านอาหารใหม่ๆ ในเครือของบริษัท

ทั้งนี้ ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ ส่งผลให้อัตราการกำไร EBITDA จากการดำเนินงานเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 13.2% ในไตรมาส 1/65 เป็น 21.1% ในไตรมาส 1/66

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า MINT จะรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 647 ล้านบาทในไตรมาส 1/66 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเป็นช่วงนอกฤดูการเดินทางในทวีปยุโรปตามที่ทางบริษัทได้คาดการณ์และประมาณการไว้ล่วงหน้า แต่ผลขาดทุนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนจำนวน 3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 1/65 โดยไมเนอร์ โฮเทลส์รายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงานในจำนวนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสดังกล่าว ในขณะที่ผลกำไรของไมเนอร์ ฟู้ดเติบโตมากกว่า 4 เท่าจากปีช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงผลักดันจากการยกเลิกมาตรการการปิดเมืองต่างๆ ในประเทศจีนและการรักษาตำแหน่งของไมเนอร์ ฟู้ดในฐานะผู้นำตลาดร้านอาหารในประเทศไทย

ท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูง MINT ยังคงมุ่งบริหารจัดการฐานะทางการเงิน โดยลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลงมาอยู่ที่ 0.94 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1/66 จาก 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 65 จากความสำเร็จในการการชำระคืนเงินกู้เดิมด้วยเงินกู้ใหม่ ซึ่งรวมถึงการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 10.5 พันล้านบาทในระหว่างไตรมาส นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ MINT ประกอบกับอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตเชิงกลยุทธ์อย่างแข็งแกร่งเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินต่อไป

นายดิลลิป กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในแนวโน้มและผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 66 โดยได้รับแรงผลักดันจากการเดินทางทั่วโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และกลยุทธ์การยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เชิงรุกของบริษัทสำหรับธุรกิจร้านอาหาร

“แนวโน้มการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมที่แข็งแกร่ง บ่งบอกว่าผลการดำเนินงานของ MINT อาจสูงเกินความคาดหมาย โดยโรงแรมของเราทั่วโลกมีความพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากความพยายามในการขายข้ามแบรนด์และข้ามภูมิภาค, ความสำเร็จในการขยายแบรนด์ของเราออกนอกตลาดต้นกำเนิดของแบรนด์นั้นๆ และเจาะเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีโอกาสในการเติบโต” นายดิลลิป กล่าว

ไมเนอร์ โฮเทลส์ ได้ดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ เช่น กลยุทธ์การขาย การตลาด โซเชียลมีเดีย และโปรแกรมความภักดีเพื่อผลักดันให้โรงแรมเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและส่งเสริมการขายข้ามแบรนด์และข้ามภูมิภาคไปยังตลาดใหม่ ขณะที่อัตราการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศในทุกภูมิภาค ประกอบกับกลยุทธ์ในการขายเฉพาะของแต่ละแบรนด์

ทั้งนี้ เพื่อที่จะรับมือกับสภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนได้มีการเปิดตัวเมนูใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายอย่างแข็งแกร่ง โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของการบริโภคภายในประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 พ.ค. 66)

Tags: , , ,