ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ไม่สงบในมหาวิทยาลัยซึ่งมีการประท้วงเกี่ยวกับสงครามในฉนวนกาซาเมื่อวานนี้ (2 พ.ค.) หลังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองมากขึ้น โดยระบุว่า ชาวอเมริกันมีสิทธิ์ที่จะแสดงออก แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง
ปธน.ไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาวว่า “ชาวอเมริกันมีสิทธิ์ที่จะประท้วง แต่ไม่ใช่สิทธิ์ในการก่อความวุ่นวาย”
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นักศึกษาที่ประท้วงกำลังเรียกร้องให้มีการยุติการโจมตีในฉนวนกาซาทันที และเรียกร้องให้สถาบันการศึกษาเลิกสนับสนุนบริษัทที่ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลอิสราเอล
ภาพความไม่สงบในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วประเทศในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาบนเครือข่ายข่าวต่าง ๆ ทำให้ปธน.ไบเดนได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเขาจะให้โฆษกเป็นผู้แสดงความคิดเห็น
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดน ซึ่งตั้งเป้าจะร่วมศึกเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนพ.ย. กำลังดำเนินการอย่างระมัดระวังในการจัดการกับลัทธิต่อต้านชาวยิว ไปพร้อมกับสนับสนุนสิทธิ์ในการประท้วงของคนหนุ่มสาวชาวสหรัฐ และพยายามลดความเสียหายทางการเมืองในระยะยาว
ปธน.ไบเดนกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล การเห็นต่างอย่างสันตินั้นเป็นเรื่องสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย แต่ความรุนแรงจะไม่เป็นที่ยอมรับ
“การทำลายทรัพย์สินไม่ใช่การประท้วงอย่างสันติ มันขัดต่อกฎหมาย การก่อกวน การบุกรุก การทุบกระจกหน้าต่าง การปิดมหาวิทยาลัย การบังคับให้ยกเลิกชั้นเรียนหรือพิธีสำเร็จการศึกษา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การประท้วงอย่างสันติ” ปธน.ไบเดนกล่าว
ปธน.ไบเดนชี้ว่า สหรัฐไม่ใช่ประเทศเผด็จการที่ปิดปากบรรดานักวิจารณ์ แต่ “ความสงบเรียบร้อยต้องมาก่อน … ความเห็นต่างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบอบประชาธิปไตย แต่ความเห็นต่างต้องไม่นำไปสู่ความไม่เป็นระเบียบหรือขัดต่อสิทธิของผู้อื่นจนทำให้นักศึกษาคนอื่น ๆ ไม่สามารถจบการศึกษาและสำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยได้”
หลังถูกถามว่าผู้ว่าการรัฐควรนำกองกำลังพิทักษ์ชาติมาคืนความสงบเรียบร้อยหรือไม่หากจำเป็น ปธน.ไบเดน ยืนยันว่า “ไม่”
นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังตอบคำถามของผู้สื่อข่าวโดยระบุว่า การประท้วงในมหาวิทยาลัยไม่ได้ส่งผลให้เขาพิจารณาเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับตะวันออกกลางแต่อย่างใด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 พ.ค. 67)