เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มที่จะยังคงเติบโตเร็วที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่นักเศรษฐศาสตร์อิสระและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายส่วนใหญ่ในผลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ไม่เชื่อมั่นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงลงได้
แม้เศรษฐกิจจะเติบโตมากกว่า 8% ในปีงบประมาณที่แล้ว และตลาดหุ้นอินเดียก็ร้อนแรงจนกลายเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดในโลก แต่รัฐบาลก็ยังคงต้องแจกจ่ายธัญพืชฟรีให้กับประชาชนมากกว่า 800 ล้านคนจากทั้งหมด 1.4 พันล้านคน
นักเศรษฐศาสตร์การพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเกือบ 85% หรือ 43 คน จาก 51 คนในผลสำรวจของรอยเตอร์ระหว่างวันที่ 15 พ.ค. – 18 มิ.ย. กล่าวว่า พวกเขาไม่เชื่อมั่นว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยในจำนวนนี้มี 21 คนที่กล่าวว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ขณะที่มีเพียง 6 คนเท่านั้นที่กล่าวว่าตนเชื่อมั่น และอีก 2 คนกล่าวว่าเชื่อมั่นมาก
ทั้งนี้ อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนมหาเศรษฐีพันล้านมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย แต่มีประชาชนอีกหลายสิบล้านคนที่ยังต้องพึ่งพาโครงการจ้างงานค่าแรงขั้นต่ำ 100 วันของรัฐบาล ซึ่งเป็นงานขุดบ่อน้ำ สร้างถนน และซ่อมหลุมถนน ด้วยค่าแรงประมาณ 4 ดอลลาร์ (ราว 147 บาท) ต่อวัน
เมื่อถูกขอให้ระบุคะแนนคุณภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์เกือบ 80% หรือ 42 คนจาก 53 คนที่สำรวจกล่าวว่า การเติบโตนั้นไม่ได้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยในจำนวนนี้มี 17 คนที่ระบุว่า ไม่ครอบคลุมเลย ขณะที่มี 8 คนกล่าวว่า ครอบคลุมพอสมควร และ 3 คนกล่าวว่า ครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม 60% หรือ 32 คน จาก 53 คนกล่าวว่า เศรษฐกิจอินเดียจะรักษาหรือทำได้เกินอัตราการเติบโตของ GDP ในปัจจุบันในอีก 5 ปีข้างหน้า
ขณะที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2590 โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนในผลสำรวจกล่าวว่ารัฐบาลควรปรับปรุงทักษะแรงงาน สร้างงานสร้างอาชีพให้มากขึ้น และมุ่งเน้นไปที่การเติบโตที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนเสียก่อนเป็นอันดับแรก
ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 90% หรือ 49 คน จาก 54 คนที่ตอบแบบสอบถามอีกชุดหนึ่งกล่าวว่า การว่างงานจะเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐบาลในอีก 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ติดตามเศรษฐกิจอินเดีย (Center for Monitoring Indian Economy) ระบุว่า อัตราการว่างงานของอินเดียอยู่ที่ 7.0% ในเดือนพ.ค. สูงขึ้นจากระดับประมาณ 6% ในช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19
“ประเทศส่วนใหญ่ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากภาคเกษตรเป็นภาคอุตสาหกรรม” ศาสตราจารย์ปาริกชิต โกช จากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งเดลี (Delhi School of Economics) กล่าว โดยเสริมว่าภาคการผลิตของอินเดียคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของ GDP มาประมาณ 30 ปี
“จากปัจจัยหลายประการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจเป็นเรื่องความล้มเหลวในการลงทุนอย่างจริงจังในด้านการศึกษา”
อนึ่ง อินเดียใช้จ่ายประมาณ 3% ของ GDP ไปกับระบบการศึกษาของรัฐ ซึ่งคิดเป็นเพียงครึ่งเดียวของที่นโยบายการศึกษาแห่งชาติของรัฐบาลแนะนำไว้ที่ 6%
ด้านผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่า อินเดียยังคงเป็นสังคมที่จมปลักอยู่กับการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ
“เราไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำเกี่ยวกับความแตกแยกที่ฉีกทึ้งสังคมของเรามาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ในโลกที่ตระกูลวรรณะจัณฑาลต้องทำความสะอาดห้องสุขาในเขตเมืองและชนบท รุ่นแล้วรุ่นเล่า” อาทิตตี ภูมิมิก ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอินเดียที่ดีเวลลอปเม้นท์ ดาต้า แล็บ (Development Data Lab) กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 67)
Tags: อินเดีย, เศรษฐกิจอินเดีย