ผลการสำรวจจากไกเซอร์ แฟมิลี่ ฟาวเดชัน (KFF) เปิดเผยว่า ประชากรผู้ใหญ่ชาวสหรัฐที่ยังไม่ได้รับวัคซีนจำนวน 5% เลือกลาออกจากงานเนื่องจากไม่พอใจการออกข้อบังคับฉีดวัคซีน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มออกข้อบังคับให้พนักงานฉีดวัคซีนกันมากขึ้น โดยในเดือนต.ค. พนักงานที่ตอบแบบสำรวจของ KFF จำนวน 25% ระบุว่า นายจ้างได้ขอให้พวกเขาเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 9% ในเดือนมิ.ย. และ 19% ในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ พนักงานที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนมากกว่า 1 ใน 3 เผยว่า พวกเขายอมลาออกจากงานดีกว่าปฏิบัติตามข้อบังคับการฉีดวัคซีนหรือทำการตรวจเชื้อเป็นประจำ
อนึ่ง เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐ ได้ประกาศเกี่ยวกับมาตรการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งจะครอบคลุมแรงงาน 2 ใน 3 ของสหรัฐ รวมถึงแผนการฉีดวัคซีนของธุรกิจที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป โดยในขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา
ตามแผนการสกัดโควิด-19 นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐได้กำหนดให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปต้องดำเนินการฉีดวัคซีนครบโดสให้กับลูกจ้าง หรือต้องตรวจหาเชื้อให้กับผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนทุกสัปดาห์ โดยคาดว่ามาตรการในส่วนนี้จะครอบคลุมแรงงานราว 80 ล้านคนในภาคเอกชน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 64)
Tags: ฉีดวัคซีนโควิด, สหรัฐ, แรงงาน, โควิด-19, โจ ไบเดน