บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี แนะนำ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น ถ่านหิน อย่าง PTTEP PTT SPRC TOP BANPU LANNA ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 8 ปีและราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 14.3% เมื่อวานนี้ปิดที่ 271 เหรียญ/ตัน ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์(จากการที่ยุโรปเร่งนำเข้าถ่านหินมาสำรองหากรัสเซียถูกระงับการส่งออกก๊าซ)
บทวิเคราะห์ บล.อาร์เอชบี ระบุว่าสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ ราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซน่าจะพุ่งขึ้นไปราว 5-10% เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซอันดับสามรองจากสหรัฐฯ และซาอุดีอาราเบีย การคว่ำบาตรน่าจะทำให้รัสเซียส่งออกน้ำมันและก๊าซลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับสูงเป็นเวลานาน ปัญหาเงินเฟ้อจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นปัญหาเงินฝืดได้ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ต้องชั่งน้ำหนักที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใหม่ ซึ่งอาจจะไม่มากอย่างที่คาด
ด้าน บล.ทรีนิตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า หลังจากผู้นำรัสเซียประกาศสงครามบุกยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นจาก 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทะลุ 105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เราประเมินราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะอยู่ในกรอบ 100-120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่อไป 1-2 ไตรมาส เนื่องจาก 1) สถานการณ์การบุกยูเครนในครั้งนี้ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร เพราะอาจจะมีการตอบโต้จากทหารของ NATO และ 2) ถึงแม้รัสเซียสามารถยึดยูเครนได้แล้ว แต่จะถูก Sanction จากกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐฯ เราประเมินผลกระทบเป็นดังนี้
ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นไปในระดับ 100-120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็น อันดับต้นๆ ของโลก มีกำลังการผลิตกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน และมีการส่งออกทั้งน้ำมันกว่า 50% ไปยุโรปและก๊าซธรรม 80% ผ่านทางระบบท่อส่ง
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม และ Crack Spread จะปรับเพิ่มสูงขึ้น จากทั้ง gas to oil switching เนื่องจากราคาก๊าซที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก ส่งผลให้โรงไฟฟ้าต้องปรับมาใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเตา นอกจากนี้แล้วอาจจะส่งผลกระทบถึงโรงกลั่นในกลุ่มประเทศยุโรปด้วยเช่นกัน เพราะกว่า 30% ของ Crude ที่ใช้ในยุโรปนั้นนำเข้าจากรัสเซีย และปริมาณโรงกลั่นในกลุ่มยุโรปนั้นรวมแล้วกว่า 10 ล้านบาร์ต่อวัน หรือ 8% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดของโลกซึ่งอาจจะส่งผลให้โรงกลั่นในกลุ่มยุโรปไม่สามารถผลิตน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นแล้วมีความเป็นได้ที่กลุ่มยุโรปอาจจะต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมากขึ้นและจะทำให้ค่าการกลั่นปรับเพิ่มสูงขึ้น
กลุ่มยุโรปมีการพึ่งพิงน้ำมันจากรัสเซียเป็นจำนวนมาก ว่า30% ของน้ำมันที่เข้ามาจากรัสเซีย จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียกับยูเครน อาจจะส่งผลถึงการขนส่งน้ำมันไปยังกลุ่มยุโรปเพราะมีท่อน้ำมันและก๊าซบางส่วนที่ผ่านยูเครน นอกจากนี้มาตราคว่ำบาตรที่อาจจะเกิดขึ้น จะส่งผลให้ไม่สามารถนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียได้ ส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นในกลุ่มยุโรปที่มีกว่า 8% ของกำลังการผลิต ทำให้อาจจะต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมากขึ้น
PTTEP ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด เราประเมินถ้าราคาน้ำมันอยู่ในระดับ 100-120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่อไปในระยะเวลา 3 เดือน จะทำให้กำไรของ PTTEP เพิ่มขึ้น 7-22% จากประมาณการของเราในปีนี้ และมี upside ต่อราคาหุ้นประมาณ 3 บาทต่อหุ้น
ส่วนกลุ่มโรงกลั่นจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่จะปรับตัวดีขึ้นถ้าโรงกลั่นในยุโรปเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันดิบ จนต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น และหุ้นกลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จาก Stock gain ที่จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/65 ถ้าระดับราคาน้ำมันปิดไตรมาสอยู่ที่ระดับเกินกว่า 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ราคา ณ ต้นไตรมาส)
ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มพลังงาน “Neutral” แต่ระยะสั้นจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง เราประเมินว่าสถานการณ์วิกฤตน้ำมันจะยืดเยื้อ คาดว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่อไปอย่างน้อย 1-2 เดือน และจะส่งผลต่อพลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ ให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นตาม ทั้งราคา ก๊าซ ถ่านหิน และน้ำมันสำเร็จรูป และคาดว่าจะส่งผลต่อค่าการกลั่นให้ปรับเพิ่มขึ้นสูง PTTEP และโรงกลั่นได้ประโยชน์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.พ. 65)
Tags: BANPU, LANNA, PTT, PTTEP, SPRC, TOP, หุ้นพลังงาน, หุ้นไทย