พื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐ รวมถึงรัฐฟลอริดา รัฐลุยเซียนา และรัฐอาร์คันซอ กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และเริ่มจะไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึงแล้ว
รัฐฟลอริดามีจำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเกิน 10,000 คนแล้ว ซึ่งทำสถิติสูงสุดของรัฐ ขณะที่จำนวนผู้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐลุยเซียนาก็ใกล้จะทำสถิติสูงสุดเร็วๆ นี้
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนาสั่งให้ประชาชนกลับไปสวมหน้ากากอนามัยภายในอาคาร ขณะที่แพทย์ที่แถลงข่าวร่วมกับผู้ว่าการรัฐลุยเซียนานั้นเปิดเผยว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้เป็น “ช่วงวันที่มืดมนที่สุดในการแพร่ระบาดรอบนี้” พร้อมขอให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพราะผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล และพยาบาลหลายรายติดเชื้อโควิด จนทำให้รัฐลุยเซียนาขาดคนทำงานถึง 6,000 คน
สำหรับพื้นที่อื่นๆ ของสหรัฐนั้น รัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกของประเทศกลับไปสั่งให้มีการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะอีกครั้ง
ส่วนรัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เตรียมบังคับให้พนักงานบริการขนส่ง เรือนจำ โรงพยาบาล และสถานพยาบาล ฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ต้องหมั่นตรวจหาเชื้อเป็นประจำ นอกจากนี้ รัฐนิวยอร์กยังขอให้บาร์ ร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่ฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้น
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐพยายามสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยล่าสุดประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงิน 100 ดอลลาร์เพื่อมอบให้กับชาวอเมริกันที่ตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งเงินดังกล่าวจะได้รับการจัดสรรจากกองทุนบรรเทาโรคระบาดมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สำหรับรัฐบาลระดับรัฐและระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน American Rescue Plan ที่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสเมื่อต้นปีนี้
ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายในการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 อย่างน้อย 1 โดสให้แก่ชาวอเมริกันซึ่งเป็นผู้ใหญ่จำนวน 70% ของประชากรทั้งประเทศแล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ส.ค. 64)
Tags: COVID-19, สหรัฐ, โควิด-19, โควิดสายพันธุ์เดลตา