โกลเบล็ก เก็ง SET แกว่ง Sideway Up ถึงต้นปี 67 จากเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย แนะกลุ่มรับผลดี Bond Yield ไหลลง

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยหุ้นในช่วงไตรมาส 4/66 ไปจนถึงไตรมาส 1/67 ว่า ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยคาดการณ์กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,400-1,450 จุด

ขณะที่ทิศทางดัชนีในปี 67 บล.โกลเบล็ก ให้กรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,373-1,569 จุด โดยอ้างอิง EPS ปี 67 จาก Bloomberg Consensus ที่ 98 บาท ภายใต้สมมติฐานการเติบโต GDP ปี 67 ที่ 4.40% และอิง PE Ratio 14-16 เท่า

ทั้งนี้ การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แผ่วลงของสหรัฐส่งผลให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาทิ จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดการณ์ ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI, PPI) ปรับขึ้นต่ำกว่าคาดการณ์ และคาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะจบแล้วหลังเงินเฟ้อชะลอตัว

ล่าสุด แบบจำลอง GDPNow แสดงให้เห็นว่า GDP ของสหรัฐขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 4/66 หลังจากมีการขยายตัว 2.2%, 2.1% และ 4.9% ใน ไตรมาส 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ขณะที่ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 49.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนพ.ค.67 จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 32.1% เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.67

นอกจากนี้ ทางโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 67 อาจเติบโตได้ดีกว่าที่คาดไว้ ภาคการผลิตจะฟื้นตัว การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะหมดไป และรายได้ที่แท้จริงเติบโตแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับ Consensus ได้ประมาณการ GDP ปี 67 เติบโตประมาณ 3-4% ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 67 ส่วนที่อาจเติบโตดีกว่าคาดการณ์มีตัวแปรจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 67 เบื้องต้นเพิ่มขึ้น 1.99% โดยต้องรอตัวเลขการส่งออกทั้งปีของปี 66 ทั้งนี้ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้จะยังขยายตัวเป็นบวกอย่างต่อเนื่องทำให้คาดว่าการส่งออกทั้งปีจะติดลบราวไม่เกิน 1% น้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

ส่วนปัจจัยลบที่จะมีผลกับตลาดหุ้นไทย อาทิ เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงชะลอตัวจากผลกระทบของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งของอิสราเอล-กลุ่มฮามาส รัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งความกังวลต่อปัญหาหนี้สาธาราณะต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแผนกู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิตัลวอลเล็ต ณ ปลาย ก.ย.66 ประเทศไทยมียอดหนี้สาธารณะต่อ GDP เท่ากับ 62% เทียบกับเพดานหนี้อยู่ที่ 70% และภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง

โดยมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 6/66 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 29 พ.ย.นี้ ต่อด้วย ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย และปัจจัยต่างประเทศ อาทิ เช้าวันที่ 22 พ.ย. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. วันที่ 24 พ.ย. ประชุม OPEC+ วันที่ 12-13 ธ.ค. กำหนดการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปี 66 ทั้งนี้กำหนดการประชุมเฟดในปี 67 รวม 8 ครั้งในวันที่ 31 ม.ค. 67 -1 ก.พ., 21-22 มี.ค., 2-3 พ.ค, 13-14 มิ.ย., 25-26 ก.ค., 19-20 ส.ค., 31 ต.ค.-1 พ.ย. และ 12-13 ธ.ค.

ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนใน 3 กลุ่มเด่น อาทิ

  1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับตัวลงเนื่องจากคาดว่าเฟดยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ TIDLOR, SAWAD และ MTC
  2. หุ้นที่ได้ประโชย์จากนโยบาย Digital Wallet และ e-Refund ได้แก่ BJC, CPALL, CPAXT, CRC, CPN, COM7, SPVI, CPW, JMART, HMPRO, DOHOME, GLOBAL, ZEN, M, AU, TNP และ KK
  3. หุ้นที่ได้รับการประเมินว่ามี ESG สูง และอยู่ใน SET50 ได้แก่ ADVANC, CPALL, CPF, CRC, OR, PTTEP และ TOP

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 66)

Tags: , , ,