สมาคมแรงงานท่าเรือนานาชาติ (International Longshoremen’s Association – ILA) ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (29 ก.ย.) ว่า แรงงานท่าเรือบริเวณชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ และอ่าวเม็กซิโก จะเริ่มหยุดงานประท้วงในวันอังคารนี้ (1 ต.ค.) ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน รวมไปถึงภาคธุรกิจและเศรษฐกิจในวงกว้าง
ILA ออกแถลงการณ์ระบุว่า “กลุ่มพันธมิตรสายการเดินเรือสหรัฐอเมริกา (United States Maritime Alliance – USMX) ปฏิเสธที่จะแก้ไขปัญหาการกดขี่ค่าจ้างที่เกิดขึ้นมานานกว่าครึ่งศตวรรษ”
ทั้งนี้ ILA เป็นตัวแทนของคนงานหลายหมื่นคนในอุตสาหกรรมท่าเรือฝั่งตะวันออกและอ่าวของสหรัฐฯ ขณะที่ USMX เป็นตัวแทนของนายจ้าง
หากสมาชิกสหภาพ ILA หยุดงานที่ท่าเรือตั้งแต่รัฐเมนไปจนถึงรัฐเท็กซัส ก็จะเป็นการสไตรก์ครั้งใหญ่ทั่วชายฝั่งครั้งแรกของสหภาพ ILA นับตั้งแต่ปี 2520 และจะส่งผลกระทบต่อท่าเรือที่รับผิดชอบการขนส่งทางทะเลประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ
แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ไม่มีการเจรจาใด ๆ เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ และไม่มีแผนที่จะเจรจากันก่อนถึงเส้นตายคือเที่ยงคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) สหภาพ ILA ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าการประท้วงหยุดงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าทางทหารหรือการเดินเรือสำราญ
โฆษกทำเนียบขาว โรบิน แพตเทอร์สัน กล่าวเมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ติดต่อกับตัวแทนของ USMX เพื่อกระตุ้นให้ทางองค์กรบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ส่งข้อความในลักษณะเดียวกันนี้ไปยังสหภาพ ILA เช่นกัน
ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผยว่า เขาไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าแทรกแซงเพื่อยับยั้งการหยุดงานของคนงานท่าเรือ หากพวกเขาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสัญญาใหม่ได้ภายในกำหนดเส้นตาย 1 ต.ค.
“มันเป็นการเจรจาต่อรองร่วมกัน ผมไม่เชื่อในการใช้กฎหมายทาฟต์-ฮาร์ทลีย์” ปธน.ไบเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันอาทิตย์
อนึ่ง ประธานาธิบดีสามารถแทรกแซงในข้อพิพาทแรงงานที่คุกคามความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศได้ โดยการบังคับใช้ระยะเวลาให้ไตร่ตรอง (cooling-off period) 80 วัน ภายใต้กฎหมายทาฟต์-ฮาร์ทลีย์ (Taft-Hartley Act) ของรัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตาม ปธน.ไบเดนไม่มีแผนที่จะใช้บทบัญญัติตามกฎหมายทาฟต์-ฮาร์ทลีย์ ตามที่รอยเตอร์ได้รายงานเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ก.ย. โดยอ้างอิงจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว
การนัดหยุดงานอาจทำให้การขนส่งสินค้าทุกอย่างหยุดชะงัก ตั้งแต่อาหารไปจนถึงรถยนต์ นอกจากนี้ ความขัดแย้งนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ
องค์กรบิสิเนส ราวด์เทเบิล (Business Roundtable) ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้นำธุรกิจรายใหญ่ในสหรัฐฯ แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการนัดหยุดงานที่อาจเกิดขึ้นที่ท่าเรือฝั่งตะวันออกและอ่าวเม็กซิโก พร้อมกับเตือนว่า การหยุดงานของคนงานท่าเรืออาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อวัน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อธุรกิจ คนงาน และผู้บริโภคชาวอเมริกันทั่วประเทศ
“เราจึงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายพยายามบรรลุข้อตกลงกันก่อนถึงเส้นตายในคืนวันจันทร์” องค์กรระบุ
เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วที่สหภาพ ILA ได้ขู่ว่าจะปิดท่าเรือทั้ง 36 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา หากนายจ้าง เช่น บริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์อย่างเมอส์ก (Maersk) และบริษัทลูกอย่างเอพีเอ็ม เทอร์มินอล นอร์ท อเมริกา (APM Terminals North America) ไม่ยอมขึ้นค่าจ้างอย่างมีนัยสำคัญ และไม่ยอมยุติโครงการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในท่าเรือ
ข้อพิพาทนี้สร้างความกังวลให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาการขนส่งทางทะเลเพื่อส่งออกสินค้า หรือนำเข้าสินค้าที่สำคัญด้านกลุ่มนายจ้าง USMX กล่าวหาว่าสหภาพ ILA ปฏิเสธที่จะเจรจา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 67)
Tags: ประท้วง, สหรัฐ, หยุดงาน, แรงงาน