เอ็มดี EXIM BANK มองศก.แดนซามูไรใกล้หลุด 3 กับดักลุ้นส่งออกไทยได้อานิสงส์

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ระบุว่า ขณะนี้ญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจ หากญี่ปุ่นไปได้ดี ไทยเราเองก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย เพราะต้องอย่าลืมว่าญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นก็ยังมีเงินลงทุนสะสมเป็นอันดับ 1 ในไทย

เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะ The Lost Decades หรือหลายทศวรรษที่หายไป คือแทบไม่เติบโตเลยตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา สะท้อนได้จาก GDP ที่โตเฉลี่ยเพียง 0.7% ต่ำที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จนทำให้ญี่ปุ่นถูกจีนแซงหน้าขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกนับตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 66 เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณชีพจรของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ค่อยๆ กลับมาเต้นอีกครั้ง และอาจถือเป็นจุดสตาร์ทสำคัญ ที่ผลักดันให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจาก “3 กับดัก” ที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน ดังนี้

– กับดัก…ตลาดหมี ดัชนีตลาดหุ้นที่มักใช้เป็น Leading Indicator สะท้อนโมเมนตัมเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ โดยหากย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าแทบไม่เติบโตเลย แต่ฝันร้ายนี้ดูจะค่อยๆ จางลงตั้งแต่ต้นปี 66 ที่ดัชนี Nikkei ปรับขึ้นแล้วกว่า 25% สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก Nasdaq ทั้งนี้ นอกจากจะได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจไตรมาส 1/66 ที่เติบโต 2.7% อีกส่วนหนึ่งก็มาจากการปฏิรูปการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นที่จะเป็นแรงหนุนนักลงทุน ทำให้มีการประเมินกันว่า ปีนี้ บจ.ญี่ปุ่นจะซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผลเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์

– กับดัก…เงินฝืด กว่า 30 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อญี่ปุ่นต่ำที่สุดในโลกเฉลี่ยราว 0.3% สาเหตุจากเศรษฐกิจที่ชะลอลงต่อเนื่อง หลังภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นเมื่อปี 33 กดดันให้การบริโภคของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด (55% ต่อ GDP) เติบโตเพียง 0.7% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 66 ยอดค้าปลีกขยายตัวเฉลี่ย 6% ต่อเดือน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงสุดในรอบ 18 เดือน อีกทั้งบริษัทญี่ปุ่นปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยถึง 3.9% สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ นับว่ามีส่วนช่วยหนุนกำลังซื้อ และผลักดันให้เงินเฟ้อที่ต่ำมานานปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นแรงผลักให้ญี่ปุ่นหลุดกับดักเงินฝืดอีกทางหนึ่ง

“การบริโภคของญี่ปุ่นที่ฟื้นตัว เป็นโอกาสส่งออกของไทย สังเกตได้ว่าแม้การส่งออกรวมของไทยครึ่งแรกปี 2566 หดตัวที่ 5.4% แต่การส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นหลายรายการยังขยายตัวได้ดี อาทิ รถยนต์ (9.9%) เครื่องใช้ไฟฟ้า (15.8%) จักรยานยนต์ (78.8%) เครื่องประดับ (52.6%)”

– กับดัก…Safe Haven คือเงินเยนที่แข็งค่าจากการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หากสังเกตค่าเงินเยนปี 34-64 พบว่าแข็งค่าขึ้นเกือบ 20% โดยเฉพาะในยามที่โลกเผชิญกับวิกฤติมาทุกครั้ง เงินเยนก็มักเคลื่อนไหวแข็งค่าสวนทางกับสกุลอื่นๆ ทั้งที่ญี่ปุ่นก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แม้แต่วิกฤติเงินเฟ้อทั่วโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 65 เพราะญี่ปุ่นเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ดูจะยินดีกับเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สามารถคงดอกเบี้ยต่ำที่ -0.1% เพื่อประคองเศรษฐกิจได้ สวนทางกับธนาคารกลางทั่วโลก สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เงินเยนตั้งแต่ต้นปี 65 อ่อนค่าแล้วกว่า 20% มีส่วนช่วยการส่งออก และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกปี 66 เห็นได้จากการส่งออกในรูปเงินเยนที่โต 3.1% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าญี่ปุ่นสูงถึง 11 ล้านคน (ราว 70% ก่อนโควิด)

“ต้องจับตามองท่าทีของ BOJ ว่าจะเริ่มกลับทิศนโยบายการเงินเมื่อไร เพราะจะส่งผลต่อเงินเยน และโมเมนตัมเศรษฐกิจญี่ปุ่นระยะถัดไปอย่างเลี่ยงไม่ได้”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ก.ค. 66)

Tags: ,