เลือกตั้ง’66: “พิธา” พร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน ลั่นกาก้าวไกล ประเทศไม่เหมือนเดิม

พรรคก้าวไกล ปราศรัยใหญ่คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน “พิธา” ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน พาประเทศเดินหน้าสู่อนาคตใหม่ ชวนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว ย้ำอีกรอบ “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ร่วมเวทีปราศรัยใหญ่พรรคก้าวไกล “คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน โดยกล่าวว่า ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่วันนี้ เพราะมีความฝันและความหวังแบบเดียวกัน เราเชื่อเหมือนกันว่าประเทศไทยที่เรารักดีกว่านี้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ถ้าเราเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ความฝัน ความหวัง ของพวกเรานั้นเรียบง่าย หลากหลาย ตรงไปตรงมา

“ที่นี่คือสถานที่ที่การเดินทางของเราเริ่มต้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว สิ่งที่ไม่ลืมคือคนที่ทำให้เรามีความฝันร่วมกันได้ คนที่จุดไฟในสายลม คนที่เคยมายืนพูดอยู่ตรงนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนรักของผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช พวกคุณไม่ต้องกังวล เพราะตอนนี้คบเพลิงอยู่ในมือของผม ผมจะไม่มีวันให้มันดับ เราจะเดินหน้าทำความฝันของเราให้เป็นจริง และรอคอยวันที่พวกคุณกลับมา ขอไม่มากทำตามสัญญา เป็นนายกฯ สองสมัยก็พอ” นายพิธา กล่าว

สำหรับประชาชนในภาคเหนือ มีความฝันเพียงแค่มีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ มีที่ดินทำกินของตัวเอง สำหรับประชาชนภาคอีสาน สิ่งที่เราต้องการคือไม่ให้หน้าแล้งต้องขนน้ำไปหาคน หน้าฝนไม่ต้องขนคนไปหาน้ำ สำหรับประชาชนภาคตะวันออก ขอแค่ไม่ต้องทนกับกลิ่นเน่าเหม็นของเหมืองหรือโรงงานขยะ

สำหรับคนวัยเกษียณ ความฝันของประชาชนเรียบง่าย เพียงแค่รัฐบาลจะดูแลคุณมากกว่าไข่ต้มฟองเดียว ส่วนใครที่อยู่ในวัยเดียวกับตน วัยที่เป็นพ่อคน เราอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ขีดเขียนโดยประชาชน มีการกระจายอำนาจให้ประชาชนเลือกผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด และสำหรับคนรุ่นใหม่ อยากเห็นการยกเลิกเกณฑ์ทหาร เอาอำนาจนิยมออกจากการศึกษาไทย

“ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมเดินทางไปรวบรวมความหวัง ความฝันของผู้คนทั่วประเทศ เห็นข้อจำกัดของการเมืองไทยที่ผ่านมาแจ่มชัดมากขึ้น วันนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน เพื่อจบปัญหาเก่าในอดีต เผชิญปัญหาใหม่ในปัจจุบันอย่างมีวุฒิภาวะ แล้วพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ปฏิเสธกันไม่ได้ว่าสิ่งที่ฉุดรั้งสังคมไทยเอาไว้ และสำคัญมากคือ ติดหล่มกับความขัดแย้งทางการเมืองมาไม่ต่ำกว่า 17 ปี วันนี้พวกเราก็ยังบอกไม่ได้ว่าระบบการเมืองแบบไหนที่เรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่จะจบปัญหานี้ได้ ต้องยุติวงจรรัฐประหาร เริ่มต้นกันที่การปฏิรูปกองทัพอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้บรรลุ 3 เป้าหมาย คือ

1. ทำให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน

2. ทำให้กองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว กองทัพมีขนาดเล็กลง แต่โปร่งใสและทันสมัยขึ้น มีสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยมากขึ้น

3. ภารกิจของกองทัพมีเพียงป้องกันภัยความมั่นคงจากภายนอกประเทศ ส่วนปัญหาความมั่นคงภายใน ปล่อยให้เป็นเรื่องของพลเรือน เพื่อให้กองทัพมีศักดิ์ศรี ไม่มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน

สำหรับคนที่เคยเห็นด้วยกับการรัฐประหารนั้น ตนเข้าใจว่าหลายคนไม่ไว้วางใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มองเห็นการเมืองในสภาเป็นเรื่องสกปรก เกลียดการคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน ระบบอุปถัมภ์ หรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ

“อยากจะบอกทุกคนว่า 17 ปีที่ผ่านมา มันได้ให้บทเรียนแก่พวกเราอย่างสาสมแล้วว่า การเมืองดีๆ ที่เราอยากเห็นนั้นไม่มีทางลัด มีแต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะแก้ปัญหาที่เราไม่พึงปรารถนาได้ การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น ไม่มีอยู่จริง และนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ที่ฉ้อฉล และตรวจสอบไม่ได้ ยิ่งกว่านักการเมืองจากการเลือกตั้ง” นายพิธา กล่าว

ดังนั้น เพื่อจบปัญหาเก่าให้ได้ สิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลจะทำไปพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพ ยุติวงจรรัฐประหาร คือตนจะทำให้สังคมกลับมาศรัทธาในระบบรัฐสภาอีกครั้ง ด้วยการยกระดับคุณภาพของนักการเมืองไทย สร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ระบบป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ สิ่งที่พวกเราต้องการ คือ ‘ระบบการเมืองที่ดี’ ไม่ใช่การเมืองที่ฝากความหวังไว้กับ ‘คนดีย์’ ที่บางทีรู้หน้า แต่อาจไม่รู้ใจ

นายพิธา กล่าวว่า ทุกสังคมย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สังคมไทยก็เช่นกัน เกิดความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ความปรารถนาแบบใหม่ เกิดพลังทางสังคมใหม่ๆ และเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้น ย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า

อย่างไรก็ดี สุดท้ายเชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด เป็นจุดลงตัวที่เรายอมรับร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง และจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่างหลากหลาย บริหารจัดการความเห็นต่างไม่ให้กลายมาเป็นความขัดแย้ง ด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก และทำให้เรามีระบบนิติรัฐ มีระบบกฎหมายที่ดี มีกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของรัฐ ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ

นายพิธา กล่าวว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่เป็นผลมาจากปัญหาที่คนรุ่นก่อนหน้าสร้างทิ้งเอาไว้ นั่นคือการนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถ้าไม่มีใครอิงแอบสถาบันเพื่อก่อรัฐประหาร ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างสถาบันมาปลุกปั่นทางการเมืองให้คนเกลียดชังกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ถ้าเราไม่ใช้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือมาทำลายล้างกัน วันนี้เยาวชนจำนวนมากที่ตกเป็นผู้ต้องหาตาม ม.112 คงได้ใช้ชีวิตวัยเยาว์อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ถูกกักขังจำกัดเสรีภาพ

“ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆ อย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอ ด้วยการยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นการเมือง แล้วหากุศโลบายที่ดีเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จัดวางพระราชอำนาจและพระราชสถานะให้เหมาะสม สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ทำแบบนี้สถาบันจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมไทย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า เมื่อจบปัญหาเก่า จัดการปัญหาใหม่ได้ เราจะสร้างฉันทมติของสังคมไทยใหม่ แล้วพวกเราจะมีสมาธิ มีสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อนำพาประเทศไปสู่อนาคต นายกฯ พิธา และทีมพิธาในรัฐบาลก้าวไกล พร้อมจะวางรากฐานใหม่ที่มั่นคงของสังคมไทยด้วยระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ สร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตด้วย เปิดโอกาสและแบ่งปันความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมด้วย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเครื่องระบบราชการและระบบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ กระจายอำนาจให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด ปฏิวัติระบบการศึกษาให้เท่าทันโลก นี่คือการจบปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ พาสังคมไทยไปสู่อนาคต

“ผมพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ไม่ว่าท่านจะโหวตหรือไม่โหวตให้ผม ผมก็จะรับใช้ท่าน ผมพร้อมจะนำประสบการณ์และความเข้าใจทั้งต่อโลกเก่าและโลกใหม่ มาบริหารประเทศเพื่อไปสู่อนาคตใหม่ของประเทศไทยที่ไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา ผมพร้อมจะนำประสบการณ์ที่มองเห็นข้อจำกัดของการเมืองแบบเดิม เพื่อทำในสิ่งที่การเมืองในอดีตทำไม่สำเร็จ 14 พ.ค. นี้ ไปเลือกตั้งด้วยความหวัง ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว เลือกเพื่อออกจากอดีต เลือกเพื่อไปสู่อนาคต ไม่ใช่เลือกเพื่อวนกลับไปที่เดิม คำตอบสุดท้าย ชัดเจน ตรงไปตรงมา มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ถึงเวลาประชาชนกล้าฝันใหญ่ ก้าวให้ไกล ก้าวไปด้วยกัน” นายพิธา กล่าว

  • “ธนาธร” ขอโอกาสให้ “พิธา” เป็นนายกฯ ลั่นคุ้มค่า! แม้ “อนาคตใหม่” ถูกยุบพรรค

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า จากพรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรคก้าวไกล เราไม่ใช่แค่พรรคการเมือง แต่คือผู้คนและการเดินทาง เราได้เดินทางผ่านสิ่งต่างๆ และลงมือทำสิ่งต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทั้งในและนอกสภา

นายธนาธร กล่าวว่า คุณค่าเรื่องคนเสมอภาคเท่าเทียม เป็นคุณค่าที่เรายึดถือมาตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ทุกคนเป็นคนเท่าเทียมกัน ควรเข้าถึงบริการของรัฐอย่างเสมอภาคกัน เราปฏิบัติตามคุณค่าที่เรายึดถือ ไม่ใช่แค่สโลแกนสวยๆ ที่แปะไว้หน้าพรรค แต่คือการกระทำและเหตุผลที่เรากล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพล กลุ่มทุนผูกขาด เพราะพวกเขาไม่ใช่นายของเรา นายของเรามีคนเดียวนั่นก็คือประชาชนเท่านั้น พรรคการเมืองนี้เป็นพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน เป็นของประชาชน และดำรงอยู่เพื่อประชาชน นี่คือพวกเราอนาคตใหม่-ก้าวไกล

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ในสถานการณ์ปกติเท่านั้น แต่ในสถานการณ์คับขัน เราก็พร้อมเดินไปกับประชาชน หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ คลื่นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากคนหนุ่มสาวที่ไม่เคยมีใครคาดเดามาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ปรากฏขึ้นมา การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาว นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทำให้คนที่เคยถอดเสื้อแดง กล้าหยิบมาใส่ใหม่ด้วยความภาคภูมิใจ เปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ ประเด็นที่เคยอ่อนไหวถูกเรียกร้องออกมาอย่างซึ่งๆ หน้า และเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปตลอดกาล

“ในยามที่ไม่มีผู้ใหญ่คนใดในบ้านเมืองนี้ ออกมายืนยันในสิทธิเสรีภาพในการพูด คิด เขียน และการประกันตัวของประชาชน ไม่มีใครออกมายืนยันเผชิญหน้าความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน ในยามที่สังคมโหยหาเสียงแห่งเหตุผล “พิธา” ได้แสดงความเป็นผู้นำออกมาให้เห็นอย่างกล้าหาญ ตอบสนองเสียงเรียกร้องแห่งยุคสมัย เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองคนแรกและคนเดียวในรอบ 10 ปี ที่กล้าออกมาพูดความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจในสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีวุฒิภาวะ อย่างเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจทุกฝ่าย ขณะที่ยังดำรงความหนักแน่นทางการเมืองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

นี่คือเหตุผลที่ “พิธา” เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศไทยในวันนี้ ราคาที่ต้องจ่าย คือการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่นี่เป็นการลงทุนที่สุดคุ้ม ไม่มี “ธนาธร”ก็มี “พิธา” ไม่มี “ปิยบุตร” ก็มี “ชัยธวัช” ไม่มี “พรรณิการ์” ก็มี “พริษฐ์” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวต่อว่า ทุกเรื่องที่ทำนั้น เราทำท่ามกลางคำปรามาสว่าเราไม่มีประสบการณ์ และขณะที่เป็นฝ่ายค้านทั้งสิ้น ในวันนี้เรามีประสบการณ์แล้ว เราจะทำได้ดีกว่านี้ขนาดไหน จากพรรคอนาคตใหม่มาเป็นพรรคก้าวไกล เราเติบโตขึ้นอย่างองอาจกว่าเดิมพร้อมการตื่นรู้ที่มากขึ้นของสังคม เขาต้องการทำลายการเดินทางและความคิดของเรา ทั้งสองเป้าหมายนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การเดินทางของเราไม่ได้ถูกทำลายลง

“คนที่มาฟังการปราศรัยของเราที่นี่ มากกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วถึง 4-5 เท่า เรื่อง 112 ที่เคยเป็นวาระต้องห้ามของสังคมไทย วันนี้กลายเป็นวาระสาธารณะที่แลกเปลี่ยนกันได้อย่างกว้างขวางแล้ว 3 ปีหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ เมล็ดพันธุ์ได้เติบโตงอกงาม เพดานได้ถูกยกขึ้น พวกเขาล้มเหลวในการทำลายเราโดยสิ้นเชิง” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวว่า เวลานี้โมงยามแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ไม่มีทางที่จะหวนคืนทุกอย่างกลับได้แล้ว ประชาชนตื่นรู้ทางการเมืองแล้ว และจะไม่ยอมกลับไปหาอดีตที่มืดมิดอีก นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศไทยที่จะเปลี่ยนแปลง โอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเวลาไหนที่ฉันทามติเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะดังสนั่นทั้งแผ่นดินเท่าเวลานี้ เวลานี้เป็นเวลาแห่งการฝันใหญ่ ไม่ใช่เวลาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว

“หน้าที่ของผม ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลจบลงที่เวทีนี้ ต่อไปเป็นหน้าที่ของทุกคน ในวันที่ 14 พ.ค. ที่จะส่งพรรคก้าวไกลไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี” นายธนาธร กล่าว

  • “อมรัตน์” พร้อมตรวจสอบการทำงาน “ก้าวไกล” ต้องได้จริงตามสัญญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล คำตอบสุดท้าย “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” นางอมรัตน์ โชคปมิตรกุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล และกรรมการบริหารพรรคได้ขึ้นปราศรัยใหญ่ โดยถือเป็นการปราศรัยเพื่ออำลาการทำหน้าที่ ส.ส. หลังจากตัดสินใจไม่ลง ส.ส.ในสมัยต่อไป

นางอมรัตน์ กล่าวว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว พรรคอนาคตใหม่คือพรรคที่กล้าฝันถึงความเปลี่ยนแปลง เมื่อ 4 ปีผ่านไป เราทำให้ความหวังและความฝันจับต้องได้ด้วยผลงาน 4 ปีในสภา4 ปีแห่งความเติบโตอย่างก้าวกระโดดของพรรคก้าวไกล ไม่ได้เกิดเพราะว่าโชคช่วย แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นที่ยอมรับของพรรคก้าวไกล เกิดจากความทุ่มเททำงานอย่างหนัก ใช้เวลาทุกนาทีในสภายืนอยู่ข้างประชาชน เสนอกฎหมายที่ก้าวหน้า และออกมายืนเคียงข้าง ประชาชนและเยาวชนบนท้องถนนที่พวกเขามาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

นางอมรัตน์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล โดยให้คำมั่นสัญญากับทุกคนในที่นี้ว่า นอกจากจะใช้เวลาทุกวันในการทำงานทางความคิด บทบาทอีกอย่างหนึ่ง คือ การเป็นตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ สัญญาว่าจะใช้บทบาทของกรรมการบริหารพรรค ทำหน้าที่ตรวจสอบพิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกลให้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

“สัญญาว่าจะเปล่งเสียงแทนทุกท่านว่า จะเรียกร้องและตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบพรรคก้าวไกลด้วยกันเอง ดิฉันสัญญาว่าจะไม่ทรยศหักหลัง และจะไม่ให้พี่น้องต้องประสบเหตุแบบเดิมๆ พายเรือมาส่งพวกเราถึงหน้าทำเนียบ แล้วพอขึ้นฟังก็ถีบหัวเรือส่ง บอกว่าส่งเราถึงฝั่งแล้ว หมดหน้าที่ กากบาทในคูหาเลือกตั้ง 4 วินาทีแล้ว พวกท่านหมดหน้าที่ ท่านส่งเราถึงฝั่งแล้ว เดี๋ยวเราจะเดินต่อไปเอง” นางอมรัตน์ กล่าว

นางอมรัตน์ กล่าวว่า จะเตือนพวกเขาไม่ให้ประสบกับความเจ็บปวดเสียใจแบบที่เคยเป็นมา โดยยึดหลัก ‘แก้แค้น ไม่ใช่แก้ไข’ การแก้แค้นไม่ใช่ไปหยิบอาวุธ ก่อม็อบทำความวุ่นวายให้บ้านเมือง เราจะแก้แค้นด้วยการออกกฎหมาย แก้กฎหมายความมั่นคงที่ป้องกันการรัฐประหารทั้งหมด

“คำตอบสุดท้ายของพวกเรา คือ ‘กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ไม่ใช่เพื่อเพียงส่งพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่การชนะครั้งนี้คือการชนะครั้งสำคัญ ไม่ใช่ชัยชนะของพรรคก้าวไกล แต่คือชัยชนะของประชาชน ผู้ทรงอำนาจสูงสุดตัวจริง” นางอมรัตน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 66)

Tags: , , , ,