เลือกตั้งสหรัฐฯ: ผลโพลเผย ชาวอเมริกันเกินครึ่งหนุนกำแพงภาษีทรัมป์

ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจากสำนักข่าวรอยเตอร์และอิปซอสส์ เผยให้เห็นว่า นโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน ซึ่งเป็นนโยบายหาเสียงสำคัญ ได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเกินครึ่งแบบเฉียดฉิว โดยผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบของทรัมป์ในประเด็นเศรษฐกิจเหนือคู่แข่งอย่างรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส

ทั้งนี้ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และแฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต ต่างให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดภาษีหลายรายการหากชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่กลับเชื่อว่าทรัมป์มีแนวโน้มที่จะจัดการกับหนี้สาธารณะมูลค่า 35 ล้านล้านดอลลาร์ได้ดีกว่า แม้ว่านักวิเคราะห์เศรษฐกิจอิสระหลายคนจะมองว่านโยบายของทรัมป์อาจส่งผลตรงกันข้าม คือทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นก็ตาม

ผลสำรวจระหว่างวันที่ 11-12 ก.ย. พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งราว 56% สนับสนุนนโยบายเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภท 10% และภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% ขณะที่ 41% ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้

แม้ผลสำรวจทั่วประเทศจะชี้ว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ 5 จุด แต่การเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะตัดสินกันในรัฐสมรภูมิ (Swing State) ประมาณ 7 รัฐ ซึ่งคะแนนสูสีกันมาก

ผลสำรวจนี้เผยให้เห็นจุดแข็งของทรัมป์ในประเด็นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ โดยคาร์ลีน โบว์แมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจความคิดเห็นจากสถาบันอเมริกันเอ็นเตอร์ไพรส์ (American Enterprise Institute) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม กล่าวว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้การเลือกตั้งสูสี”

โบว์แมนอธิบายว่า ทรัมป์ได้เปรียบเนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจดีในยุคทรัมป์ (ปี 2560-2564) และทรัมป์สามารถโน้มน้าวให้โหวตเตอร์เชื่อว่าปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เกิดจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต 1 ใน 3 มีแนวโน้มโหวตให้แคนดิเดตที่มีนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าและเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตราสูง ขณะที่ 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วย ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดก็มีความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน

ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ถือว่าดี โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายลดภาษีสำหรับผู้บริโภค ขณะที่อัตราการว่างงานก็อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปี แม้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และพุ่งสูงขึ้นมากในช่วงโควิด-19 ก็ตาม

ในการหาเสียงปีนี้ ทรัมป์สัญญาว่าจะลดภาษีหลายรายการ รวมถึงยกเลิกภาษีรายได้จากทิป ซึ่งเป็นนโยบายที่แฮร์ริสก็สนับสนุนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (12 ก.ย.) ทรัมป์ยังประกาศว่าจะยกเลิกภาษีค่าล่วงเวลาอีกด้วย

ผลสำรวจระบุว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 70% เห็นด้วยกับนโยบายยกเว้นภาษีทิป

สมัยที่ดำรงตำแหน่งปธน. ทรัมป์เรียกตัวเองว่า “Tariff Man” (มนุษย์กำแพงภาษี) และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคน รวมถึงธนาคารโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) มองว่านโยบายนี้รวมถึงนโยบายอื่น ๆ ของทรัมป์อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว

ในการดีเบตเมื่อวันอังคารที่แล้ว (10 ก.ย.) แฮร์ริสหยิบยกการประเมินของโกลด์แมน แซคส์ มาพูดถึง และบอกว่านักเศรษฐศาสตร์อิสระหลายคนมองว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น

แต่ผลสำรวจกลับพบว่า ชาวอเมริกัน 37% เชื่อว่าทรัมป์น่าจะลดหนี้สาธารณะได้ดีกว่า ขณะที่ 30% เลือกแฮร์ริส และอีก 30% มองว่าทั้งคู่คงลดหนี้ไม่ได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณหลายคนคาดการณ์ว่า นโยบายภาษีของทรัมป์จะทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี ขณะที่นโยบายของแฮร์ริสน่าจะทำให้การขาดดุลเพิ่มขึ้นไม่ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรืออาจช่วยลดหนี้ได้

ผลสำรวจระบุว่า โหวตเตอร์ 47% มองว่าทรัมป์น่าจะส่งเสริมบรรยากาศที่ดีต่อภาคธุรกิจได้มากกว่า ขณะที่ 37% เลือกแฮร์ริส

อย่างไรก็ดี แฮร์ริสได้เปรียบทรัมป์เล็กน้อย (43% ต่อ 42%) เมื่อถามว่าใครจะสร้าง “บรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดีสำหรับฉันและครอบครัว”

นอกจากนี้ โหวตเตอร์ส่วนใหญ่มองว่า แฮร์ริสให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุขราคาย่อมเยา และการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างสะพานและถนนมากกว่า

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้เปรียบในเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งพุ่งสูงขึ้นในยุคของไบเดน (ปี 2564-2565) โดย 43% เชื่อว่าทรัมป์น่าจะ “ลดราคาของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ของชำและน้ำมัน” ได้ดีกว่า ขณะที่ 36% เลือกแฮร์ริส

อนึ่ง ผลสำรวจของรอยเตอร์และอิปซอสส์รวบรวมผ่านทางออนไลน์จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้ว 1,405 คน โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนประมาณ 3 จุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 67)

Tags: , , , , , ,