นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาในช่วงภาวะที่เศรษฐกิจโลกดี เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ น้ำมันราคาถูก หนี้ประเทศต่ำ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังบริหารประเทศล้มเหลว จากนี้ไปจะต้องเผชิญกับ น้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าขึ้น ค่าครองชีพพุ่ง อาหารแพง เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขึ้น หนี้ท่วมทั้งภาครัฐและเอกชน
“รัฐบาลจะบริหารประเทศให้สำเร็จได้อย่างไร ปีที่แล้วไทยต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนล้านบาทจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ปีนี้ราคาน้ำมันที่นำเข้าก็คงจะสูงขึ้นอีกเช่นกัน ตลอด 7 ปีที่น้ำมันราคาถูก รัฐบาลยังไม่สามารถทำเศรษฐกิจให้ดีได้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยยังขยายไม่เท่ากับราคาน้ำมันที่ประเทศลดการจ่ายลงเลย เป็นความล้มเหลวที่วัดได้ง่ายๆ ดังนั้นในปี 2565 นี้จะเป็นปีแห่งความทรุดโทรมและเสื่อมถอย ซึ่งเป็นผลมาจากความล้มเหลวของรัฐบาลที่สะสมมาตลอด 7 ปี” นายพชร กล่าว
นายพชร กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศจะปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) แบบขั้นบันไดเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.65 ว่า จะเป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพซ้ำเติมให้กับประชาชนอย่างมาก หลังจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นไปก่อนหน้านี้ และจะเริ่มขึ้นค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ม.ค.นี้เช่นกัน
โดยรัฐบาลอ้างว่า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ โดยในเดือน ธ.ค.64 มีรายจ่ายเฉลี่ยติดลบเดือนละ 5,963 ล้านบาท แบ่งเป็น น้ำมัน 4,276 ล้านบาท แอลพีจี 1,687 ล้านบาท อีกทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ทะลุ 81 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว และ ราคาแอลพีจีในตลาดโลกทะลุ 900 ดอลลาร์/ล้านบีทียู ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระแบกรับภาระการพยุงราคาน้ำมันดีเซลและแอลพีจี และจะมีภาระเพิ่มขึ้นอีกถ้าราคาน้ำมันดีเซลและแอลพีจียังคงเพิ่มขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่รัฐบาลแบกต่อไม่ไหว
นอกจากราคาพลังงานจะสูงขึ้นแล้ว ราคาอาหาร เช่น หมู ไก่ ปลา ไข่ไก่ ได้ปรับสูงขึ้นตาม รวมถึงราคาค่าขนส่ง และราคาสินค้าหลายชนิดทยอยสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยในปีนี้สูงขึ้นมาก ประชาชนส่วนใหญ่ที่รายได้ไม่เพิ่ม และคนตกงานจำนวนหลายล้านคน จะลำบากกันอย่างมากจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขนาดสินค้าราคาปกติยังจะลำบากที่จะหาเงินมาซื้อกันอยู่แล้ว
แต่ที่น่ากังวลคือ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยอาจจะขึ้นในเดือน มี.ค.นี้ จากภาวะเงินเฟ้อสูงในสหรัฐทำให้ไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม มิเช่นนั้นเงินตราต่างประเทศอาจจะไหลออกได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วต้องถูกซ้ำเติมมากขึ้น บริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ติดหนี้ธนาคารอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตลอดหลายปี ต้องมาจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะแบกรับกันไม่ไหวและอาจจะต้องปิดตัวกันมาก ซึ่งจะทำให้คนตกงานอีกมาก
นายพชร กล่าวว่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคตว่าประเทศไทยจะพัฒนาต่อไปอย่างไร หากรัฐบาลยอมลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลแต่แรกตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอ กองทุนน้ำมันฯ ก็ไม่ต้องมาแบกภาระหนักขนาดนี้ และยังสามารถนำกองทุนน้ำมันไปแบกภาระค่าก๊าซที่สูงขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามลำบากนี้ได้ อีกทั้งรัฐบาลควรจะต้องนำเงิน 20,087.42 ล้านบาทที่โอนจากกองทุนน้ำมันฯ มาคืนเพื่อช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันและราคาก๊าซที่แพงขึ้น เพื่อให้ประชาชนประคองชีวิตให้รอดก่อน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะคนจะตายกันหมดแล้วจากผลงานบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาล
“ตั้งแต่นี้การบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนของพล.อ.ประยุทธ์มาตลอด การที่จะฟื้นฟูประเทศต่อไปนี้ ต้องใช้ความแม่นยำ ทฤษฎีที่ถูกต้อง และ ต้องพลิกฟื้นเปลี่ยนวิธีการบริหาร ไม่เช่นนั้นประเทศจะอ่อนแอ และความมั่นคงของประเทศก็จะสั่นคลอน เพราะประชาชนสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานไป” นายพชร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ม.ค. 65)
Tags: ค่าครองชีพ, พชร นริพทะพันธุ์, พรรคเพื่อไทย