“ฮุนได มอเตอร์” เผยกำไรสุทธิ Q4/66 โต 31% แต่ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาด

บริษัทฮุนได มอเตอร์ โค (Hyundai Motor Co) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเกาหลีใต้ เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2566 ในวันนี้ (25 ม.ค.) ว่า กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 31% แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้ออำนวย ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขายโรงงานในรัสเซียในเดือนธ.ค.

ฮุนได มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลกเมื่อวัดจากยอดขาย ร่วมกับบริษัทย่อยอย่างเกีย คอร์ป (Kia Corp) รายงานผลกำไรสุทธิ 2.2 ล้านล้านวอน (1.65 พันล้านดอลลาร์) ในไตรมาสที่ 4/66 เพิ่มขึ้นจากกำไร 1.7 ล้านล้านวอนในไตรมาส 4/65

อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าการคาดการณ์โดยเฉลี่ยที่ 2.9 ล้านล้านวอนจาก LSEG SmartEstimate

ในเดือนธ.ค. ฮุนได มอเตอร์ ประกาศว่าบริษัทจะขาดทุน 2.87 แสนล้านวอน (219.2 ล้านดอลลาร์) จากการขายโรงงานในรัสเซีย ซึ่งหยุดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565

สำหรับปี 2567 นี้ ฮุนไดตั้งเป้ารายได้เติบโต 4.0%-5.0% โดยคาดว่ายอดขายรถยนต์ในอเมริกาเหนือจะเพิ่มขึ้น 4.9% แต่ยอดขายรถยนต์ในจีนและยุโรปจะลดลง 3.7% และ 0.6% ตามลำดับ

บริษัทคาดการณ์อัตรากำไรจากการดำเนินงานระหว่าง 8.0%-9.0% ซึ่งสอดคล้องกับของปีที่แล้ว

“ฮุนได มอเตอร์ คาดว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจะยังคงคาดเดาได้ยาก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางมหภาคโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ และภาคเศรษฐกิจจริงเข้าสู่ภาวะถดถอย” แถลงการณ์ของฮุนได มอเตอร์ ระบุ

ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่า เช่นเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ฮุนไดกำลังเผชิญกับการเติบโตที่ชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงและภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ราคารถยนต์แพงเกินเอื้อมสำหรับผู้ซื้อบางราย

“ดูเหมือนว่าความต้องการซื้อรถยนต์ที่อัดอั้นมานานจากปริมาณสินค้าที่มีจำกัดกำลังหายไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงนั้นส่งผลต่อความเต็มใจซื้อรถยนต์ของผู้ซื้อ” ลี แจอิล นักวิเคราะห์จากยูจีน อินเวสต์เมนต์ แอนด์ ซีเคียวริตี้ส์ (Eugene Investment & Securities) กล่าว

ลีกล่าวเสริมว่า ฮุนได มอเตอร์ มีแนวโน้มจะบริหารจัดการระดับสต็อกรถยนต์เข้มงวดกว่าปีก่อน เนื่องจากอุปสงค์คงค้างกำลังลดลง และสต็อกที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อความสามารถในการทำกำไร

หลังจากรายงานผลประกอบการ หุ้นฮุนได มอเตอร์ ปรับตัวขึ้น 2.0% เหนือกว่าดัชนี KOSPI ที่ปรับขึ้นเพียง 0.1%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ม.ค. 67)

Tags: ,