“อนุสรณ์” แนะกนง.ไม่ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย ชี้เงินเฟ้อชะลอ ศก.เริ่มฟื้น

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ปัญหาความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินโลกดูจะยังไม่คลี่คลาย แม้จะมีสัญญาณดีเล็กๆ ที่เงินฝากและเงินลงทุนจากธนาคารขนาดใหญ่ทยอยไหลย้อนกลับไปยังธนาคารกลางและธนาคารเล็กบ้างแล้ว ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินและนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาต่อระบบธนาคารกลางเริ่มกระเตื้องขึ้นก็ตาม แต่ปัญหาหนึ่งที่ต้องติดตามใกล้ชิด คือ จะเกิดภาวะเงินตึงตัวจากปัญหาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินโลกหรือไม่ และการดำเนินมาตรการเข้มงวดทางการเงิน จะมีผลต่อภาวะเงินตึงตัวในอนาคตหรือไม่ เพราะตอนนี้หลายประเทศยังไม่สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ตามเป้าหมาย ยังอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อให้ได้

ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ คือ อาจเกิดภาวะเงินตึงตัว (Tight Money) ขึ้นมาได้ในบางประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้อุปสงค์ต่อเงินทุนมีมากกว่าอุปทานของเงินทุน เป็นภาวะที่มีความต้องการสินเชื่อและเงินทุนเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณเงินและสินเชื่อมีจำกัด ครัวเรือนและผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น ขณะที่ในบางประเทศที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ธนาคารในประเทศก็ปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังและเข้มงวด ทำให้ภาคธุรกิจและภาคการลงทุนไม่ได้สินเชื่อ จะไปกู้หรือหาแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ ก็เกิดปัญหาเสถียรภาพของสถาบันการเงินโลกขึ้นมาอีก และตลาดการเงินโลกผันผวนรุนแรง เกิดความยากลำบากในการหาเงินทุน การที่ธนาคารกลางหลายประเทศนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่นและอื่นๆ ประสานกันในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินโลกเมื่อหลายวันก่อนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง รวดเร็ว ทันสถานการณ์ เพื่อแก้ปัญหาภาวะขาดสภาพคล่องและเงินตึงตัว

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ไม่ได้มีปัญหาภาวะเงินตึงตัวขณะนี้ หากพิจารณาจากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากและตั๋ว BE อยู่ที่ประมาณ 91-92 ประกอบกับยังมีเงินทุนไหลเข้าอยู่ ดุลการชำระเงินยังเป็นบวกอยู่ ในระยะสั้นยังไม่น่าวิตกกังวลอะไร แต่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผลตอบแทนแท้จริงจากการฝากเงินธนาคารยังคงติดลบและรายได้แท้จริงลดลงจากอัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูง ทำให้การออมแท้จริงโดยรวมในประเทศลดลง

การทำนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะสั้นนั้น จะต้องดำเนินการในลักษณะ กฎ (Rule-based Stabilization Policy) มากกว่าการใช้วิจารณาญาณ (Discretionary Policy) หมายความว่า ผู้ทำนโยบายรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจะต้องแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงเป้าหมายของนโยบาย โดยการตั้งเป้าหมายชัดเจน และระบุถึงเครื่องมือของการทำนโยบายด้วย เนื่องจากสามารถส่งผ่านผลของการทำนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการคาดการณ์ของภาคเอกชน ภาคการผลิต ภาคการลงทุน และภาคครัวเรือน ข้อได้เปรียบของนโยบายการเงิน คือ มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับตามพลวัตเศรษฐกิจและตลาดการเงินได้อย่างรวดเร็ว จึงมีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะสั้น

เครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายของแบงก์ชาติ คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้นโยบายการเงินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องใช้ “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เป็นเครื่องมือและกลไกส่งผ่านไปยังระบบสถาบันการเงิน เพื่อควบคุมเงินเฟ้อพื้นฐานให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยไม่ไปรบกวนหรือเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

“ด้วยสัดส่วนหนี้สินเมื่อเทียบกับรายได้ หนี้สินเทียบกับผลผลิตในทุกระดับของระบบเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับสูง ทั้งภาคครัวเรือน ภาครัฐ ภาคเอกชน ประกอบกับความเสี่ยงจากปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินโลก จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนใดๆ ที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 29 มีนาคมนี้” นายอนุสรณ์ กล่าว

พร้อมระบุว่า เศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างประเทศ สอดคล้องกับลักษณะโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคต่างประเทศสูง อัตราเงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากราคาพลังงานในตลาดโลกลดลง และอัตราการขยายตัวของการนำเข้าของประเทศคู่ค้าหลักลดลง การที่ค่าเงินบาททำหน้าที่เป็นตัวรองรับผลกระทบจากภายนอก หรือเป็น shock absorber ได้ดีในระดับหนึ่ง จึงควรปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปตามพลวัตของปัจจัยภายในภายนอก

นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ พบว่า ประชากรไทยประมาณ 37% คิดเป็น 25 ล้านคนเป็นหนี้ และคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้นจากรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายจำเป็น มูลค่าหนี้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 520,000 บาท มูลค่าหนี้เพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนี้ 2 ใน 3 เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสีย ไม่ใช่การก่อหนี้เพื่อการลงทุน แต่เป็นสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง กู้มาเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ฉะนั้น การที่มีการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำมาหลายปีต่อเนื่อง จึงไม่ใช่สาเหตุหลักในการกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้

แต่สัดส่วนการเป็นหนี้ของภาคครัวเรือนไทยสูง เป็นผลจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมและเหลื่อมล้ำสูง 20% ของไทยเป็นหนี้ในเครดิตบูโรที่มีความเสี่ยงเป็นหนี้เสีย บัญชีหนี้เพื่อการลงทุนทางธุรกิจและสินเชื่อบ้านคิดเป็นเพียง 4% สะท้อนอนาคตปัญหากับดักหนี้ครัวเรือนจะเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจและภาคการเงินไทยหากดอกเบี้ยขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ และยังมีช่องว่างผลผลิต (Output Gap หรือ GDP Gap) มาก กลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้อยู่ที่ 41 บาท ฉะนั้นค่าแรงงานขั้นต่ำเพียง 300 กว่าบาทต่อวันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพแน่นอน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มี.ค. 66)

Tags: , , ,