“อนุสรณ์”คาด H2 ปี 68 สงครามการค้าสหรัฐ-จีนรุนแรงกดดันศก.ไทย แต่ GDP Q1/68 ดีต่อเนื่อง Q4/67 คาดโต 4%

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คาดสงครามการค้ารุนแรงครึ่งปีหลัง หากมีการใช้กำแพงภาษีนำเข้าตอบโต้กันในวงกว้าง โดยเริ่มจากภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์และจีนตอบโต้ในระดับเดียวกันระบบการผลิตห่วงโซ่อุปทานและระบบการค้าโลกจะแยกส่วนออกจากกันมากยิ่งขึ้น

จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ วิเคราะห์ว่า จีดีพีโลกเสียหายไม่ต่ำกว่าขนาดจีดีพีประเทศฝรั่งเศสและประเทศเยอรมันรวมกัน หรือจีดีพีโลกจะหายไปไม่ต่ำกว่า 7% การค้าโลกจะซบเซาลง และ ในกรณีที่แย่ที่สุด มีการตอบโต้กันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาในระดับอัตราภาษี 60% จะเกิดการชะลอตัวลงอย่างแรงของเศรษฐกิจและภาคส่งออกของทั้งสองประเทศมีโอกาสที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกในระดับเดียวกับวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี ค.ศ. 2008 ได้

ส่วนนโยบายลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆของรัฐบาลทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริการขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลบวกต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจโลกโดยรวม แต่ก็ทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงทางการคลังจากการลดภาษี

เพิ่มความเสี่ยงฟองสบู่ตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น พลวัตของการผลิตห่วงโซ่อุปทานและระบบการค้าโลกจากสงครามการค้า ทำให้รูปแบบการเคลื่อนย้ายการลงทุนของอุตสาหกรรมผลิตส่งออกของบรรษัทข้ามชาติเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย

ประเทศที่ได้รับประโยชน์จะต้องมีการวางฐานะทางยุทธศาสตร์เพื่อดึงดูดการลงทุนต่างชาติให้เหมาะสม รวมทั้งมียุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศอันสอดรับกับสถานการณ์ใหม่อีกด้วย จึงจะสามารถพลิกวิกฤติจากสงครามการค้า เป็นโอกาสแห่งการรับประโยชน์จากการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตเพื่อส่งออกของบรรษัทข้ามชาติ

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายปี 67 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4% และยังคงมีแรงส่งต่อเนื่องต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 68 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งใช้จ่ายงบประมาณปี 68 บวกเข้ากับ การเร่งตัวของภาคส่งออกก่อนสงครามการค้า การใช้จ่ายในภาคการท่องเที่ยวจะทำให้การเติบโตในช่วงสองไตรมาสแรกปีนี้เป็นไปได้ด้วยดี

อย่างไรก็ตาม สงครามทางการค้าจะเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกไทยและระบบการค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลัง และอาจมีความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่แตกในตลาดการเงินโลกเพิ่มขึ้น จะกดดันให้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวลง งบประมาณปี 2568 ที่มีการจัดสรรงบลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์ 0.91 ล้านล้านบาท หรือ เกือบ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบปี 67 ถึง 26.5%จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ภาคการลงทุนของไทยฟื้นตัวอย่างชัดเจนหากไม่มีปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง การเพิ่มงบลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์ทำให้ต้องทำงบประมาณขาดดุลสูงถึง 4.5% ของจีดีพี

ระดับการขาดดุลที่สูงมีความจำเป็นแต่ไม่เพียงพอต่อการฟื้นเศรษฐกิจ เพราะต้องอาศัยนโยบายและมาตรการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจด้วย จึงจะทำให้การฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความยั่งยืน หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การบริหารจัดการกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิดความเสี่ยงฐานะทางการคลังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า

จีดีพีไทยสามารถโตทะลุ 3% ในปีนี้ได้หากใช้นโยบายและมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมพร้อมกับการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้สนับสนุนการส่งออกสินค้าและบริการ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตร อาหาร และ ภาคบริการท่องเที่ยวต้องตั้งเป้าพร้อมยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ขึ้นไปแตะระดับ 40 ล้านคนในปี 2568

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่าในภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนสูงมาก การเร่งพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนทุกช่วงวัยมีความสำคัญ เพื่อให้คนกลุ่มต่างๆในสังคมสามารถรับมือกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจได้ โดยไม่เกิดความขัดแย้งทางสังคมรุนแรง การพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนทุกช่วงวัยนั้นต้องอยู่บนรูปแบบสวัสดิการที่มาจาก 4 ฐาน คือ สวัสดิการจากฐานทรัพยากรธรรมชาติ ต้องให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเสมอภาคกัน สวัสดิการจากฐานชีวิตวัฒนธรรมในการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชน สวัสดิการจากฐานประกัน เช่น ระบบประกันสังคม การสร้างระบบการออมและการประกันการมีรายได้เมื่อเกษียณอายุการทำงานหรือชราภาพ สวัสดิการจากฐานสิทธิ

นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบค่าจ่ายขั้นต่ำและเงินเดือนขั้นต่ำที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ควรส่งเสริมศักยภาพแรงงานในการมีส่วนร่วมพัฒนาระบบสวัสดิการการยกระดับและขยายขอบเขตของสวัสดิการสำหรับแรงงานทุกกลุ่ม ส่งเสริมให้แรงงานลูกจ้างสามารถรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน เป็นต้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ขอเสนอให้มีสวัสดิการพื้นฐานเด็กเล็กถ้วนหน้า 5,000 บาทต่อเดือน ครอบครัวไหนไม่มีความจำเป็นมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ก็สามารถสละการใช้สิทธินี้ได้เพื่อประหยัดเงินงบประมาณไปพัฒนาประเทศด้านอื่น งานวิจัยของทีดีอาร์ไอในปี พ.ศ. 2565 ระบุว่า ค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลเด็กเล็ก (0-6 ปี) จากมาตรฐานรายได้ขั้นต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,375 บาทต่อเดือน ก็มอบสวัสดิการเด็กเล็กประมาณ 5,000 บาทจึงเพียงพอ ปัจจุบันเราจ่ายเงินอุดหนุนเด็กเล็กรายละ 600 บาทซึ่งไม่เพียงพอ การจะได้รับสวัสดิการ 600 บาทเป็นการให้แบบไม่ถ้วนหน้าอีกต่างหาก จึงต้องไปพิสูจน์ความจนอีกการเสนอให้มีสวัสดิการพื้นฐานเด็กเล็กถ้วนหน้าเนื่องจากการพิสูจน์สิทธิว่าเป็นคนจนทำให้เด็กเล็กครอบครัวยากจนตกหล่นจากการช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 30%

ขณะนี้ประเทศไทยมีเด็กเล็ก 0-6 ปีอยู่ที่ 4.2 ล้านคน หากต้องการให้สังคมไทยมีพลเมืองและแรงงานที่มีคุณภาพ เราจำเป็นต้องลงทุนดูแลเด็กๆเหล่านี้อย่างเต็มที่มีครอบครัวที่ไปลงทะเบียนเพื่อขอรับสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กประมาณ 2.3 ล้านคนซึ่งมีเด็กยากจนตกหล่นจำนวนมาก นอกจากนี้ ขั้นตอนการพิสูจน์ความยากจนก็ยุ่งยากบางครอบครัวเข้าไม่ถึงสิทธิตรงนี้ การพิสูจน์ยุ่งยากเป็นการบั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ส่วนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมขณะนี้ได้รับสิทธิประโยชน์สงเคราะห์บุตรเดือนละ 1,000 บาทเมื่อบวกเข้ากับสวัสดิการพื้นฐานอุดหนุนเด็กเล็กอีกตามที่ตนเสนอ 5,000 บาทจะได้สวัสดิการเด็กเล็กตกเดือนละ 6,000 บาท เงินจำนวนนี้มากพอที่จะเลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพ

ประเทศไทยจะมีอนาคตดีขึ้นทุกด้านในอนาคตจากพลเมืองและแรงงานคุณภาพ

D.W. Dunlop (1995) ได้ทำการศึกษาวิจัยและพบว่า ระดับสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในโภชนาการ การลงทุนในการศึกษาและการลดมลพิษ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลดลง กรณีประเทศมีผลิตภาพของแรงงานต่ำเนื่องจากระดับสุขภาพต่ำส่งผลให้มีรายได้น้อยและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพน้อยตามไปด้วย

C.E. Phelps (1997) ได้ทำการศึกษาวิจัยและพบว่า รายได้ต่อหัวของประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อบริการสุขภาพมากขึ้นย่อมส่งผลให้ระดับสุขภาพดีขึ้นด้วย ประชาชนใช้รายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นเพื่อการศึกษาที่สูงขึ้น ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นนำมาสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ประชาชนที่มีระดับรายได้สูงขึ้นเสริมสร้างสุขภาพของตนเองให้ดีขึ้นได้ด้วยการบริหารจัดการกับชีวิตตัวเอง ให้เหมาะสม สุขภาพที่ดีขึ้น การศึกษาที่ดีขึ้น ก็นำมาสู่รายได้ที่มากขึ้นอีกในอนาคต

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้นและมีผู้สูงอายุจำนวนมากไม่มีเงินออม ไม่มีรายได้ มีฐานะยากจนจึงขอเสนอให้มีสวัสดิการบำนาญพื้นฐานชราภาพ 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนจะหารายได้ของรัฐส่วนไหนมาสนับสนุนจำเป็นต้องปฏิรูปรายได้ภาครัฐ

ปฏิรูปภาษีโดยเฉพาะเก็บภาษีทรัพย์สินเพิ่ม ขณะเดียวกันต้องตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงพร้อมลดการรั่วไหลทุจริตคอร์รัปชันให้ได้

การพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนทุกช่วงวัยพร้อมกับการเพิ่มการออมสำหรับเกษียณอายุจะช่วยเพิ่มความมั่นคงในคุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคมโดยรวม การมีเงินออมสำหรับวัยชราภาพจะช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาจะช่วยบรรเทาให้ภาระหนี้ของครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมทั้งหนี้สาธารณะลดลง ภาระทางการเงินที่ลดลงของภาครัฐและประชาชนจะทำให้มีเงินออมมากขึ้น มีเงินมากขึ้นในการลงทุนทางด้านการศึกษาและสุขภาพ การลงทุนดังกล่าวจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว สัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนทางด้านศึกษาและสุขภาพเทียบกับจีดีพีมากเท่าไหร่ เราก็จะได้คุณภาพทรัพยากรมนุษย์ที่ดีขึ้นอันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว

นายอนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า งานวิจัยของศาสตราจารย์เฮ็กแมน (Jame J. Heckman) พบว่าการลงทุนดูแลและให้การศึกษากับเด็กเล็กจะทำให้สังคมได้ประโยชน์อย่างมาก ลดการก่ออาชญากรรม ลดปัญหาสังคม การติดยาเสพติด นอกจากนี้ การลงทุนในเด็กเล็กยังให้ผลตอบแทน 7-12 เท่า หากลงทุน 1 บาทจะได้ผลตอบแทน 7-12 บาท ทางสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาได้ดำเนินการโครงการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ หรือ ไรซ์ไทยแลนด์ (RIECE Thailand) เพื่อสร้างทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพอันจะช่วยสร้างสังคมที่เสมอภาคและเศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ม.ค. 68)

Tags: , ,