นักวิเคราะห์ฯ ระบุว่าตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีปรับตัวลงต่อ บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังดูไม่สดใส โดยเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการทำให้ขาดปัจจัยชี้นำ ขณะที่ Sentiment ในประเทศยังไม่ค่อยดี ปัญหาหลักจากความเชื่อมั่นของนักลงทุน จากประเด็นการถูก Force Sell หลังผู้บริหารเอาหุ้นไปจำนำ ทำให้มีแรงขายออกมา นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะใช้อำนาจตั้งกำแพงภาษีนำเข้า อีกทั้งความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีนี้ โดยให้พร้อมทั้งให้กรอบแนวต้าน 1,375 จุด และแนวรับ 1,350 จุด แนวรับถัดไป 1,330 จุด
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีปรับตัวลงต่อ บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังดูไม่สดใส โดยเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ จึงขาดปัจจัยชี้นำตลาด ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเช้านี้ที่เปิดมา อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ดัชนียังอยู่ในภาวะขาลง
ทั้งนี้มองว่า Sentiment ในประเทศยังไม่ค่อยดี ปัญหาหลักจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการลงทุนตลาดหุ้นไทย จากประเด็นการถูก Force Sell ที่เกิดจากการนำหุ้นไปจำนำของผู้บริหาร ซึ่งประเด็นดังกล่าวหากตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการแก้ไขภายในสิ้นเดือนนี้มองว่าปัญหาจะค่อย ๆ คลี่คลาย อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมา SET ดีดแรงจากนักลงทุนต่างชาติที่เห็นจังหวะเก็งกำไรได้ แต่เมื่อมีประเด็นที่กระทบความเชื่อมั่นทำให้ขายออกมา พร้อมกับถือสถานะ Short Future ด้วย
นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากความกังวลจากกระแสข่าวนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มีแผนประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อใช้อำนาจในการใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีนำเข้า รวมทั้งการรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อเดือนธ.ค. ระบุว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 2 ครั้งในปีนี้
พร้อมทั้งให้กรอบแนวต้าน 1,375 จุด และแนวรับ 1,350 จุด แนวรับถัดไป 1,330 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการวันพฤหัสบดีที่ 9 ม.ค. เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 39,550.25 จุด ลดลง 54.84 จุด หรือ -0.14% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 19,328.07 จุด เพิ่มขึ้น 87.18 จุด หรือ +0.45% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,211.71 จุด เพิ่มขึ้น 0.32 จุด หรือ +0.01%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 ม.ค.) ที่ 1,362.97 ลดลง 24.75 (-1.78%) มูลค่าซื้อขายราว 46,901.72 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (9 ม.ค.) 2,289.90 ล้านบาท
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.(9 ม.ค.) เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 73.92ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 ม.ค.) อยู่ที่ 4.69 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 34.57/58 แข็งค่าเล็กน้อย ตลาดรอตัวเลขจ้างงานฯสหรัฐคืนนี้ ให้กรอบ 34.45-34.75
– “คลัง” ลุยแซนด์บ็อกซ์ภูเก็ต หนุนใช้คริปโทฯ ใช้จ่ายสินค้าในประเทศ เริ่มทดลองใช้ภายในปี 2568 เร่งเคลียร์ ธปท.ฝ่าด่านหิน การใช้คริปโทฯแลกเปลี่ยนขัด พ.ร.บ.การเงิน เปิดข้อกังวลแบงก์ชาติ4 ประเด็นนำเงินดิจิทัลมาใช้แลกเปลี่ยนสินค้า
– “หุ้นไทย” วานนี้ร่วงแรงปิดตลาด 24 จุด อยู่ที่ 1,362.97 จุด ดิ่งหนักตามภูมิภาค “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” ชี้ตลาดกังวล “ทรัมป์” มีแผนประกาศภาวะ “ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระดับชาติ” เพื่อตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ห่วงปมขาดความเชื่อมั่นผู้บริหารนำหุ้นวางมาร์จิน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนลคาดแรงเทขายหุ้นใหญ่ผลกระทบ GMT “ไทยบีเอ็มเอ” ชี้ปีก่อนพบบริษัทถูกดาวน์เกรดหุ้นกู้ 46 บริษัท เหตุธุรกิจแย่
– “ไทยบีเอ็มเอ” คาดแนวโน้มปี 68 ยอดหุ้นกู้ใหม่ 8.5- 9 แสนล้านบาทใกล้เคียงปีก่อน จับตา “หุ้นกู้ไฮยีลด์” ยอดออกวูบ 50% เหตุนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นเศรษฐกิจซบเซา ตลาดอยู่ในโหมดซึมลง พบบริษัทถูกดาวน์เกรดหุ้นกู้ลดลง เพิ่มเป็น 46 บริษัทในปี 67 หลังภาพธุรกิจแย่ลง ยังไร้สัญญาณหุ้นกู้เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น
– “สรรพากร” ตั้งเป้ารีดภาษี 2.37 ล้านล้านบาท ขู่เอาจริง! กลุ่มขายออนไลน์อินฟลูฯ จะใช้ระบบเทคโนโลยีเข้ามาตรวจจับเลี่ยงภาษีโดนโทษหนัก ทั้งปรับ ทั้งคุก พร้อมทำแผนรับมือยื่นภาษีนิติบุคคล รายได้วูบกระทบจัดเก็บรายได้เหตุแพ้พิษเศรษฐกิจ พร้อมสั่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทำแผน และคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว
– ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินการเพื่อแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และการหารือร่วมกันเพิ่มเติมระหว่าง สกพอ. และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อยืนยันว่าการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ โดยยังคงเป็นไปตามหลักการเดิมของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ในโครงการนี้
– “กรมธุรกิจพลังงาน” รายงานตัวเลขยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรอบ 11 เดือนของปี 67 เพิ่มขึ้น 2% สอดรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยกระตุ้นกลุ่มดีเซลเพิ่ม 2.4% ขณะที่น้ำมันอากาศยานโต 18.4%
หุ้นเด่นวันนี้
– KTB (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท เราคาดว่า KTB จะได้รับประโยชน์จากรอบการลงทุนใหม่ในปีหน้าจากทั้งภาครัฐและเอกชนขณะเดียวกัน คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารมีความน่ากังวลน้อยกว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ โดยคาดว่าอัตราส่วน NPL จะลดลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับต้นทุนด้านสินเชื่อที่ปรับลดลง เราคงประมาณการสำหรับปี 2567-2569 +3.2% CAGR ขณะที่ Valuation ยังค่อนข้างถูก เทรด P/BV อยู่ที่ 0.7 เท่า นอกจากนี้การคงดอกเบี้ยของกนง.และโมเมนตัมจาก FED ที่ลดดอกเบี้ยช้าลง คาดช่วยจำกัด Downside ของกลุ่มธนาคาร
SKY (เมย์แบงก์) “ซื้อ” เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 30.10 บาท ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนด้าน IT ของภาครัฐฯ คาดว่ากำไรหลักในปี 68 จะเติบโต 56% YoY จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารสนามบินและการลงทุนของภาครัฐ ราคาเป้าหมายอิงวิธี SoTP อยู่ที่ 30.10 บาท แบ่งเป็น 1) 23.60 บาทจากบริการที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน และ 2) 6.50 บาท จากธุรกิจ SI (System Integration) ทั้งนี้ เพื่อตอบข้อกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มรายได้ของ SKY เราขอชี้แจงว่า งบประมาณการลงทุนทางด้าน IT ของ 5 หน่วยงานภาครัฐ (ประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) กรมท่าอากาศยาน การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมศุลกากร) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 20% YoY ในปีงบประมาณ 68 โดยปัจจัยบวกที่จะหนุนราคาหุ้น (Re-rating Catalyst) อาจมาจากการชนะโครงการในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 68
– TRUE (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 12.10 บาทเรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มสื่อสารซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงทั้งด้านผลประกอบการและการเคลื่อนไหวของราคา โดยการแต่งตั้งคุณซิกเว่เบรกเก้ อดีต CEO ของ Telenor Group เป็นประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัลของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและการควบคุมค่าใช้จ่ายของ TRUE นอกจากนี้คาดว่า TRUE จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ดี โดย EBITDA จะเติบโตทั้งเทียบไตรมาสก่อนและปีก่อน จากรายได้ต่อผู้ใช้บริการ (APRU) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังการแข่งขันด้านราคาลดลง ประกอบกับการลดต้นทุนและประโยชน์จากการควบรวมกิจการจะส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานหลักปรับตัวดีขึ้นและต่อเนื่องไปในปี 2568โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมกรอบ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ม.ค. 68)
Tags: SET, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย