หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าปรับขึ้น รับ Sentiment ตปท. เกาะติดงบบจ.

นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีมีโอกาสไต่ระดับตามทิศทางหุ้นต่างประเทศ หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐค่อนข้างดี ส่งผล Sentiment เชิงบวกในการลงทุน ขณะที่ในประเทศติดตามการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โดยสัปดาห์นี้จะมีการประกาศกลุ่ม ICT และกลุ่มอาหาร พร้อมทั้งให้กรอบแนวรับที่ 1,375 จุด และแนวต้าน 1,390 จุด หากผ่านได้ให้แนวต้านถัดไปที่ 1,400 – 1,405 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีมีโอกาสไต่ระดับขึ้น จากทิศทางกลางหุ้นต่างประเทศค่อนข้างดี หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรแข็งแกร่งเกินคาด ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวันศุกร์ปรับตัวขึ้นต่อ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ออกมาแข็งแกร่ง อาจทำให้นักลงทุนปรับมุมมองเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งต้องติดตามตัวเลขประกอบด้วย และการคาดการณ์ของตลาดต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ตลาดผันผวนได้ แต่ช่วงนี้ Sentiment ในการลงทุนยังค่อนข้างดี เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐออกมาค่อนข้างดี

สำหรับปัจจัยในประเทศติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยสัปดาห์นี้จะมีการประกาศในกลุ่ม ICT และกลุ่มอาหาร

ขณะที่ในแง่ของปัจจัยเทคนิค SET Index มีสัญญาณกลับตัว รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิทั้งใน SET Index และ SET50 Index Futures ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อคืนได้ต่อเนื่อง

วันนี้แนะนำลงทุนในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี อาทิ AAI ซึ่งคาดว่าผลประกอบการน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในไตรมาส 4/66 และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

กรอบแนวรับที่ 1,375 จุด และแนวต้าน 1,390 จุด หากผ่านได้ให้แนวต้านถัดไปที่ 1,400 – 1,405 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (2 ก.พ.)ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,654.42 จุด เพิ่มขึ้น 134.58 จุด หรือ +0.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,958.61 จุด เพิ่มขึ้น 52.42 จุด หรือ +1.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,628.95 จุด เพิ่มขึ้น 267.31 จุด หรือ +1.74%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 15,336.86 จุด ลดลง 196.7 จุด หรือ -1.26% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดภาคเช้าที่ระดับ 2,716.08 จุด ลดลง 14.07 จุด หรือ -0.51% ขณะที่ ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 36,419.34 จุด เพิ่มขึ้น 261.32 จุด หรือ +0.72%
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ก.พ.) ที่ 1,384.08 จุด เพิ่มขึ้น 16.12 จุด (+1.18%) มูลค่าซื้อขาย 45,159.93 ล้านบาท
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,097.47 ล้านบาท
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 1.54 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 72.28 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลงเกือบ 7.4% ในรอบสัปดาห์นี้
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ก.พ.) อยู่ที่ 8.60 เหรียญ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.69 บาท อ่อนค่าตามภูมิภาคหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดีกว่าคาด หนุนดอลลาร์แข็งค่า
  • “นักเศรษฐศาสตร์” ฟันธง 7 ก.พ.นี้ กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย “ซีไอเอ็มบีไทย” เชื่อมีโอกาสลดครึ่งหลัง “ทีดีอาร์ไอ” ชี้ลดดอกเบี้ยหนุนเกิดเซนติเมนต์ “เชิงบวก” เอื้อการใช้จ่ายและลงทุนฟื้น “เคเคพี” ชี้คงดอกเบี้ยอิงจาก 3 ปัจจัยหลัก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” มอง กนง.รอความชัดเจนเศรษฐกิจไม่ด่วนลดดอกเบี้ย “ทีทีบี” แนะจับตา “เงินเฟ้อพื้นฐาน-เศรษฐกิจ” ทรุด หนุนลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด
  • “ค้าปลีก” ชี้กำลังซื้อ เศรษฐกิจปี 67 ยังติดหล่ม “3 สูง” ดอกเบี้ยต้นทุน-หนี้ครัวเรือน ตลาดภูธรทรุดยาว จี้รัฐเร่งเครื่องท่องเที่ยว ปฏิรูปมาตรการป้องสินค้าข้ามแดน หนุนสินเชื่อเอสเอ็มอี ลุ้นใช้ “ดิจิทัล วอลเล็ต” สร้างแรงกระเพื่อมปลุกเม็ดเงินเข้าระบบ แรงหนุนสัญญาณบวก ครึ่งปีหลัง “ม.หอการค้า” ชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ครึ่งปีแรกไม่โดดเด่น ประชาชนกังวล ค่าครองชีพ ไร้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • “พาณิชย์” ฟุ้งไทยลงนาม FTA ศรีลังกาแล้ว เผยมีการเปิดตลาดสินค้ากว่า 4 พันรายการ เคาะไทยถือหุ้นสาขาบริการได้ 100% ใน 50 สาขาย่อย และถือหุ้นในการลงทุนได้ 100% ใน 35 สาขา คาดบังคับใช้ได้ภายในปีนี้ จ่อจัดสัมมนาประชาพิจารณ์รวบรวมความเห็นทุกส่วนก่อนชงสภาพิจารณาเห็นชอบ
  • จับตา ‘เศรษฐา-ฮุนมาเนต’ ถก 7 ก.พ. เจรจาผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ตามเอ็มโอยู 2544 ระบุว่า การแบ่งเขตสำหรับทะเล อาณาเขตไหล่ทวีป และ เขตเศรษฐกิจจำเพาะและพื้นที่จะเป็นเขตพัฒนาร่วม แยกจากกันมิได้เด็ดขาด

หุ้นเด่นวันนี้

  • CPAXT (ลิเบอเรเตอร์) ซื้อ ราคาเป้าหมาย 33.00 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 จะเติบโตทั้ง q-q (ฤดูกาล) และ y-y (แรงหนุนจากยอดขาย และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง) และคาดแนวโน้มยังดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 1/67 จากการได้ประโยชน์จากโครงการ Easy E-receipt รวมถึงเทศกาลตรุษจีน
  • TU (กสิกรไทย) ซื้อ ราคาพื้นฐาน 16.70 บาท การตัดสินใจออกจากการลงทุนใน Red Lobster (RL) ที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จะไม่รับรู้ผลการดำเนินงานของ RL อีกต่อไปตั้งแต่ 1Q24 หนุนหุ้นมีโอกาสถูก Rerate ไปเทรดสูงขึ้นจากปัจจุบันเทรดบน P/E ปี 2024 ที่ระดับต่ำเพียง 9.7x อิง EPS ที่ 1.56 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทจะเป็นบวกอัตราการทำกำไรของ TU ด้วย
  • HMPRO (ดาโอ) ซื้อ เป้าเชิงกลยุทธ์ 11.20 บาท) HMPRO เป็นหนึ่งในหุ้นที่นักลงทุนผิดหวังมาตรการกระตุ้นต่างๆ และเชื่อว่ามาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย แต่ถ้ามองแบบ tactical call ราคาลงมาแรงแล้วเร็ว มีโอกาสเล่น rebound ได้
    คาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 4/66 ที่ 1.7 พันล้านบาท -6% YoY , +11% QoQ จาก SSSG ขยายตัวราว 3-4% ขณะที่ รายได้ขยายตัว +11% YoY หลักจากสาขาที่เพิ่มขึ้น MegaHome 4 สาขา และ HomePro 1 สาขา คือกำไรดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ตัวแปรที่มีผลต่อ HMPRO จะเป็นเรื่อง กำไร ไตรมาส 1/67 ที่จะมีเรื่องมาตรการ e-receipt 50,000 บาท ที่น่าจะทำให้รายได้สูงขึ้น (แต่ยังไม่มั่นใจว่า เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายจะชะลอไปบ้างหรือไม่)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.พ. 67)

Tags: ,