หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งขึ้น เล็งเงินทุนต่างชาติเข้าหลัง BoE ขึ้นดบ.กดดอลลาร์อ่อน

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ซิกแซกขึ้นในกรอบจำกัด หลังผลประชุม BeE มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 0.25% ไปกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า เล็งเงินทุนต่างชาติไหลเข้า-วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิมากด้วย อีกทั้งทำให้ราคาน้ำมันขึ้นด้วย ซึ่งตลาดบ้านเราจะได้รับประโยชน์ ส่วนผลประชุม ECB คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย-ยุติโครงการ PEPP ในมี.ค. แต่ยังเปิดช่องหนุนเศรษฐกิจต่อไป-เลือกถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้แกว่งบวก-ลบ พร้อมให้แนวรับ 1,635-1,630 แนวต้าน 1,650-1,660 ซึ่งเมื่อดัชนีฯขึ้นไปแถว 1,650 จุดขึ้นไปก็จะต้องระวังการแกว่งตัว

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซิกแซกขึ้นได้ หลังจากที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% ทำให้ไปกดดันให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามา และเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติก็ซื้อสุทธิมากด้วย และยังทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นด้วย ซึ่งตลาดบ้านเราก็จะได้รับประโยชน์

นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และจะยุติโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) วงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโรในเดือนมี.ค. แต่ก็ยังเปิดช่องคงสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไป และยังคงเลือกที่จะดำเนินการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในยุโรปต่อไป และติดตามความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนด้วย หลังจากที่สหรัฐสั่งคว่ำบาตรบริษัท SenseTime Group ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานชาวมุสลิมอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียง

อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเราวันนี้คงจะขึ้นได้ในกรอบจำกัด โดยจะต้องติดตามตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะประกาศการปรับการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 และสัปดาห์หน้าก็จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และให้ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะมีเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจออกมาเพิ่มอีก

พร้อมให้แนวรับ 1,635-1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,660 จุด ซึ่งเมื่อดัชนีฯขึ้นไปแถว 1,650 จุดขึ้นไปก็จะต้องระวังการแกว่งตัว

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,897.64 จุด ลดลง 29.79 จุด (-0.08%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,668.67 จุด ลดลง 41.18 จุด (-0.87%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,180.43 จุด ร่วงลง 385.15 จุด (-2.47%)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 211.72 จุด หรือ -0.73%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 11.72 จุด หรือ -0.05% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.76 จุด หรือ -0.13%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ธ.ค.)1,645.32 จุด เพิ่มขึ้น 21.66 จุด (+1.33%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,598.14 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.64

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ธ.ค.) ปิดที่ระดับ 72.38 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.51 ดอลลาร์ หรือ 2.1%

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ธ.ค.) อยู่ที่ 5.90 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.40 แข็งค่าเล็กน้อยจากวานนี้ จับตาสถานการณ์โควิดในอังกฤษ

– “อาคม” เผยคลังเตรียมเก็บภาษีขายหุ้น ปี 65 อัตรา 0.1% ของมูลค่าซื้อขายเกิน 1 ล้าน ต่อเดือน แจงเป็นหนึ่งในแผนปฏิรูปภาษี เพื่อความเป็นธรรมกับรัฐ หลังยกเว้นมานานกว่า 30 ปี “บล.เอเซีย พลัส” คาดรัฐมีรายได้เพิ่ม 1-2 หมื่นล้านต่อปี หวั่นกระทบวอลุ่ม ผลตอบแทนลด นักลงทุนวีไอ “นิเวศน์” ชี้ไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม หวั่นต่างชาติทิ้งหุ้นไทย

– ทล.กางแผนลงทุนปี 65 เฉียดแสนล้านบาท ลุย PPP 4 โครงการ มอเตอร์เวย์-โทลล์เวย์-จุดพักรถ รับลูกเผยมอเตอร์เวย์ 2 สาย M6 และ M81 คืบ

– ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทยประเมินเศรษฐกิจไทยปี 65 เติบโต 3.8% สูงกว่าปี 64 ที่โตเพียง 1.0% โดยคาดว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” จะไม่กระทบกับการเติบโตของเศรษกิจโลกและไทยมากนัก ประเมินส่งออกยังโตได้ภายใต้ภาวะต้นทุนแพงและการาดแคลนวัตถุดิบ ชี้เศรษกิจในประเทศมีแนวโน้มดี้นหลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มองปี 65 เป็นจุดเปลี่ยนเข้าสู่กระแสการพัฒนาในโลกยุค New Normal

– บอร์ด รฟท.อนุมัติผลประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือ-อีสาน วงเงิน 1.28 แสนล้าน หลัง กก.สอบข้อเท็จจริงสรุปไม่มีการสมยอมราคา พร้อมรายงานนายกฯ แล้ว เดินหน้าเซ็นสัญญาภายใน ม.ค.65
*หุ้นเด่นวันนี้

– SPRC (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 12 บาท ได้ Sentiment บวกค่าการกลั่นฟื้นตัวเร็วจากระดับ 2.3$/bbl ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ขึ้นสู่ระดับ 6.88$/bbl ในปัจจุบัน โดย SPRC จะได้ประโยชน์โดยตรงและมากสุดเพราะเป็น Pure โรงกลั่น

– PJW (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 6.20 บาท คาดกำไร Q4/64 จะเป็นจุดสูงสุดของปี เบื้องต้นคาด +53% Q-Q, -20% Y-Y ตามการ Reopening หนุน Demand บรรจุภัณฑ์พลาสติกฟื้นตัว โดยคาดกำไรปี 2564 +45% Y-Y ด้านธุรกิจ Medical Plastic จะเริ่มสร้างรายได้ในปี 65 เริ่มจากการจำหน่ายไซริงค์ล็อตแรกต้นปีโดยมี IP เป็นผู้ทำตลาดโรงพยาบาลให้ และจะเห็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจหลักคาดฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง พร้อมคาดกำไรปี 2565 ที่ +26% Y-Y โดยให้แนวรับ 3.90-3.80 บาท แนวต้าน 4.10-4.20 บาท

– SCB (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 134 บาท รายได้ใหม่จาก Digital-Fin Tech นับตั้งแต่ปี 65 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Public Sapient ให้บริการ Digital Consulting ด้าน Valuation ยังถูกเทียบอดีต ปัจจุบันเทรดที่ PBV เพียง 0.99X การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเชิงโครงสร้างขององค์กรเป็นบวกต่อกำไรในระยะยาว พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 3.57 หมื่นลบ. และ 3.93 หมื่นลบ. +31%YoY, +10%YoY ตามลำดับ

– S (คิงส์ฟอร์ด)”ซื้อเก็งกำไร”เป้า IAA Consensus 2.20 บาท แม้รับรู้ขาดทุนสุทธิ Q3/64 ราว 212 ล้านบาท แต่รายได้ฝั่งโรงแรมและสำนักงาน ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทกว่า 79.4% เติบโตกว่า +303% YoY รวมทั้งคาดได้ประโยชน์จาก High Season ช่วงไตรมาส Q4/64 เป็นต้นไป ซึ่งในภาคการท่องเที่ยวปีนี้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวทั้งในส่วนของโรงแรมในอังกฤษ มัลดีฟ รวมถึงในไทย ขณะที่มียอดขายที่รอการโอนจากการขาย Santiburi มูลค่าราว 5 พันล้านบาท ที่จะมีเข้ามารับรู้ในปี 3 ปี คือราวปี 64-66 ราว 3 พันล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ธ.ค. 64)

Tags: , ,