นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ลุ้นฟื้นตัว บอนด์ยีลด์, ค่าเงินดอลลาร์ และ ราคาน้ำมันดิบ ย่อตัวลง หลังพุ่งขึ้นเป็นแรงกดดันต่อตลาดค่อนข้างมากในช่สงก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังต้องระวังความผันผวนของหุ้น DELTA เนื่องจากพบออเดอร์บิ๊กล็อตข้ามวัน หากต่ำกว่าราคาปิดวานนี้ที่ 103 บาทอาจทำตลาดผันผวน รวมถึงคืนนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ให้แนวรับ 1,470 จุด และแนวต้าน 1,500 จุด
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ลุ้นฟื้นตัวขึ้น หลังสัญญาณ Indicator ทั้งของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) , ค่าเงินดอลลาร์ และราคาน้ำมันดิบ ย่อตัวลง ทำให้ตลาดน่าจะคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าวได้บ้าง จากก่อนหน้านี้เป็นแรงกดดันสินทรัพย์เสี่ยงมาค่อนข้างมาก
แต่ยังต้องระวังความผันผวนของหุ้น DELTA หลังพบคำสั่งซื้อขายประเภทที่มีอายุข้ามวัน (Overnight order) เป็นการซื้อขายบิ๊กล็อต (Big Lot) หากมีราคาต่ำกว่าราคาปิดวานนี้ที่ 103 บาท อาจทำให้ตลาดเผชิญแรงกดดัน
และคืนนี้ก็ยังต้องติดตามการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือน ส.ค.ของสหรัฐ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.5% จากระดับ 3.3% ในเดือนก.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน จะชะลอลงจากระดับ 4.2% ในเดือนก.ค. มาอยู่ที่ระดับ 3.9% ในเดือนส.ค.
ให้แนวรับไว้ที่ 1,470 จุด และแนวต้าน 1,500 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (28 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,666.34 จุด เพิ่มขึ้น 116.07 จุด หรือ +0.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,299.70 จุด เพิ่มขึ้น 25.19 จุด หรือ +0.59% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,201.28 จุด เพิ่มขึ้น 108.43 จุด หรือ +0.83%
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดภาคเช้าที่ระดับ 3232,018.64 จุด เพิ่มขึ้น 146.12 จุด หรือ +0.46% ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็งเปิดที่ระดับ 17,484.95 จุด เพิ่มขึ้น 111.92 จุด หรือ +0.64% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ (29 ก.ย.) เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 ก.ย.66) 1,482.14 จุด ลดลง 15.01 จุด (-1.00%) มูลค่าซื้อขาย 59,089.20 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,744.04 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ก.ย.66
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. (28 ก.ย.)ลดลง 1.97 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 91.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 ก.ย.) อยู่ที่ 5.76 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 36.59 กลับมาแข็งค่าหลังดอลลาร์อ่อน จับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ
– “พิพัฒน์” รมว.แรงงาน ยันประกาศปรับขึ้น “ค่าแรงขั้นต่ำ” เป็น “ของขวัญปีใหม่” แน่ แต่ไม่ยืนยัน 400 บาท ขอหารือกับ “คณะกรรมการไตรภาคี” เคาะให้ชัดบนพื้นฐาน เงินเฟ้อและค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละจังหวัด เป็นหลัก คาดได้ข้อสรุปสิ้นเดือน พ.ย.นี้ ย้ำผู้ประกอบการ “เอสเอ็มอี” ต้องรอด เพราะถือครองแรงงานก้อนใหญ่สุดของประเทศ พร้อมเร่งหาแรงงานท่องเที่ยว หลังหายไป 25% เน้นพัฒนาคนไทย ไม่เห็นด้วยดึงต่างชาติ
– นายกฯ เยือนกัมพูชา จุดเริ่มต้นเปิดเจรจาพื้นที่ทับซ้อน “ปานปรีย์” ยืนยันปรับโครงสร้างคณะกรรมการเจรจาใหม่ “พลังงาน” เตรียมข้อมูลเสนอรัฐบาล หวังให้เร่งเจรจาเพื่อสำรวจผลิตปิโตรเลียม ลดนำเข้าแหล่งพลังงานจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ช่วยพยุงค่าไฟฟ้าราคาถูกลงในระยะยาว
– ธนาคารกรุงเทพ ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้น 0.10-0.25% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อปรับขึ้น 0.25%
– ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 3.0% จากเดิม 3.6% เนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 2/66 ชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ การส่งออกไทยยังคงหดตัว 2% และมีหนี้ครัวเรือน อยู่ที่ระดับ 89.5% และยังมีปัญหาล่าช้าในการจัดทำงบประมาณปี 2567 รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้ง
หุ้นเด่นวันนี้
– BDMS (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า 37 บาท คาดกำไรจากการดำเนินงานจะพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 3.7 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 19%qoq จากการเพิ่มขึ้นทั้งผู้ป่วยในและต่างประเทศโดยเฉพาะผู้ป่วยในได้ผลบวกจากการระบาดของโรคต่างๆ อาทิ ไข้เลือกออก, RSV และมือเท้าปากในเด็ก
– BBL (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 190 บาท แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/66 คาดเติบโตเด่น y-y และทรงตัว q-q แรงหนุนจากส่วนต่างดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ผสานกับพอร์สินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน ส่วนด้านคุณภาพสินทรัพย์คาดยังอยู่ในเกณฑ์ โดยล่าสุด BBL ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้น 0.25% และปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น 0.1-0.25% ซึ่งคาดจะเป็นแรงหนุนต่อ NIM ในช่วง 4Q23 ขณะที่ Valuation ในปัจจุบันเทรดในระดับPBV เพียง 0.6 เท่า
– ERW (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 6.10 บาท แนวโน้ม 2H66 ฟื้นตัวต่อเนื่องสะท้อนจาก RevPAR เดือน ก.ค.-ส.ค.ที่สูงขึ้นเทียบทั้ง QoQ, YoY โดย Occ.Rate ของโรงแรมที่ไม่รวม Hop Inn ที่ยืนสูงราว 85% และ Hop Inn ในไทย / โรงแรมในฟิลิปปินส์ อยู่ที่ราว 80-81% ส่วน ADR ก็ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน (RevPAR = ADR x Occ / รายได้ = RevPAR x จำนวนห้อง x 365) โดย RevPar ที่สูงกว่าช่วง Pre-covid สะท้อน Demand ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่ง แม้ในเดือน ก.ย.อาจจะชะลอลง MoM บ้างตาม seasonal แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 3Q66 จะออกมาดี ทิศทางรายได้และกำไรจาก 3Q66-1Q67 สดใส และยังได้ประโยชน์ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนเพราะอดีตมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนสูงและทำเลส่วนใหญ่อยู่ใน กทม.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 66)
Tags: ตลาดหุ้น, วิจิตร อารยะพิศิษฐ