หุ้นไทยปิดเช้าร่วง 20.47 จุด ทำนิวโลว์เกือบ 5 ปีตามหุ้นโลกวิตกเทรดวอร์ฉุดเศรษฐกิจโลก บ่ายคาดลงต่อ

  • ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ 1,195.26 จุด ลดลง 20.47 จุด (-1.68%) มูลค่าซื้อขายราว 29,157 ล้านบาท

  • การซื้อขายช่วงเช้า ดัชนีเปิดตลาดร่วงก่อนรีบาวด์เล็กน้อย โดยทำระดับสูงสุด 1,198.56 จุด และต่ำสุด 1,186.36 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยภายนอกที่ตลาดกังวลสงครามการค้า หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐยืนยันว่าสหรัฐจะเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตามกำหนดเดิมในวันที่ 4 มี.ค. และจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.เช่นกัน ก็หวั่นว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

โดยหุ้นเทคโนโลยีซึ่งเป็นหุ้น High Growth ราคาร่วงลงตามหุ้น NVDIA รวมไปถึงกลุ่มปิโตรเคมี ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติโยกเงินออกจากตลาดหุ้นไปตลาดพันธบัตร ขณะที่บิทคอยน์ก็ปรับตัวลงแรงเช่นกัน สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นักลงทุนกลับมาถือเงินสด จนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ เช้านี้ตลาดหุ้นไทยมีแรงขายหุ้นใหญ่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลงแรงกว่าดัชนี SET โดยครึ่งชั่วโมงแรกดัชนีปรับตัวลงมาทำนิวโลว์ในรอบ 4 ปี 10 เดือน ที่ 1,187 จุด (สิ้นต.ค.63) และค่อย ๆ รีบาวด์ขึ้นมา

แนวโน้มในช่วงบ่ายคาดว่าตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวลงได้อีก เพราะจะมี MSCI Rebalance ซึ่งจะใช้ราคาปิดของวันนี้ โดยน้ำหนักหุ้นไทยจะมีหุ้นถูกถอนมากกว่า น่าจะมีแรงขายออกมากกว่า จะทำให้หุ้นใหญ่กดดัชนีอยู่

นายถนอมศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้แม้ว่าหุ้นไทยไม่ได้แพง แต่จุดซื้อยังไม่มีจนกว่าจะมีสัญญาณทางเทคนิค หรือมีปัจจัยในประเทศใหม่มากระตุ้นตลาด จึงยังแนะนำรอซื้อมากกว่า แต่หากซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวก็ซื้อได้เพราะถูกลงแล้ว

โดยให้แนวรับ 1,187 จุด แนวต้าน 1,200 -1,210 จุด

“แนวรับยอมรับดูยากมาก ไม่มีแนวจะรับเท่าไหร่ แนวรับแข็ง ๆ หายไปหมดแล้ว 1,220 จุด ซึ่งหลุดมานานแล้ว และแนวรับ 1,187 จุดซึ่งเป็นจุดโลว์เดิม แต่ถ้าหลุดอีกก็ลึกแลย แต่เมื่อไหร่ที่มันหักหัวหรือมีสัญญาณปรับตัวแรง ๆ หรือรีบาวด์ขึ้นมา 10 จุด 20 จุด อันนี้ถือเป็นสัญญาณกลับตัว ก็คือ Timing เข้าซื้อ”

นายถอมศักดิ์ กล่าวว่า หากปล่อยไว้อย่างนี้ตลาดก็มีโอกาสปรับตัวลงไปอีก จึงเห็นว่าตอนนี้ควรมี Action ระยะสั้น ที่จะมาช่วยพยุงตลาดหุ้น หรืออาจจะเป็นกองทุนพยุงหุ้นเหมือนในอดีต โดยแม้ดอกเบี้ยปรับลงก็ยังไม่สามารถช่วยตลาดหุ้นฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนมาตรการระยะยาวที่เห็นยังไม่สามารถช่วยฟื้นได้ เพราะต้องยอมรับว่า นโยบายของทรัมป์ ได้กลายเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอนกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่แรงขายกองทุน LTF ก็อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าคงค้าง 1.8 แสนล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

  • CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,065.49 ล้านบาท ปิดที่ 53.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท

  • ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,671.50 ล้านบาท ปิดที่ 275.00 บาท ลดลง 6.00 บาท

  • KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,317.94 ล้านบาท ปิดที่ 22.30 บาท ลดลง 0.60 บาท

  • BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,218.71 ล้านบาท ปิดที่ 24.30 บาท ลดลง 0.20 บาท

  • GULF มูลค่าการซื้อขาย 1,150.14 ล้านบาท ปิดที่ 48.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 68)

Tags: , , , ,