นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณ 54,600 ล้านบาท สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ, โครงการคนละครึ่ง และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมาก โดยมาตรการดังกล่าว จะเป็นการบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพ และยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นประมาณ 95,000 ล้านบาท ส่งผลให้ประมาณการเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 64 จะเพิ่มเป็น 1.0-1.5%
โดยช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี จะเป็นช่วงที่ประชาชนใช้จ่ายกันมาก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเดินทางท่องเที่ยว หรือการซื้อของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาอุทกภัยในหลายจังหวัด ทำให้เงินในระบบเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาหมุนเวียนช้า มาตรการของภาครัฐที่ออกมาดังกล่าว จึงถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพได้ส่วนหนึ่ง และหลังจากน้ำท่วมจะต้องมีการก่อสร้าง การจับจ่ายใช้สอย เพื่อฟื้นฟูความเสียหาย โดยส่วนนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้
“หอการค้าไทย ประเมินว่าผลลัพธ์จากมาตรการต่างๆ นี้ จะเกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงิน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทำให้ GDP ปีนี้เติบโตได้ 1-1.5%”
นายสนั่น กล่าว
นายสนั่น กล่าวว่า การใช้จ่ายของประชาชนใน 2 เดือนสุดท้ายนี้ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญตัวหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ นอกเหนือจากเม็ดเงินที่จะได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะแม้ว่าจะเริ่มเปิดเมืองในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่ได้เข้ามาทันทีทันใด ดังนั้นการบริโภคและการเดินทางภายในประเทศ จึงเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่สำคัญคือประชาชน และผู้ประกอบการ ต้องไม่ละเลยการระมัดระวังตัว และรักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ต.ค. 64)
Tags: GDP, กระตุ้นเศรษฐกิจ, คนละครึ่ง, ค่าครองชีพ, สนั่น อังอุบลกุล, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทย, เศรษฐกิจไทย