“สุทิน”สั่งเบรกกองทัพเรือชี้แจงเรือดำน้ำ “วิโรจน์” จ้องตามต่อจนกว่าชัดเจน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่กองทัพเรือต้องชี้แจงโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ S26T ต่อ กมธ.การทหาร ว่าที่จริงแล้ว กองทัพเรือจะเข้ามาชี้แจงพร้อมกับสำนักงบประมาณกลาโหม ในวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่เวลาประมาณ 12.00 น. ทางกองทัพเรือได้โทรศัพท์มาแจ้งด้วยวาจาว่านายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เพิ่งจะมีคำสั่งไม่ให้กองทัพเรือมาชี้แจง โดยให้เฉพาะสำนักงบประมาณกลาโหม เป็นผู้ชี้แจงเท่านั้น โดยคณะผู้มาชี้แจง ประกอบด้วย พล.อ.อดินันท์ ไชยฤกษ์ ผอ.สำนักงบประมาณกลาโหม พล.อ.ต.ธวัชชัย สงวนเรือง ผช.ผอ.สำนักงบประมาณกลาโหม และ พ.อ.อาร์ม พันกะหรัด ผอ.กองการพัสดุ สำนักงบประมาณกลาโหม พร้อมด้วยคณะ

ในเรื่องการเปิดเผยสัญญา G2G การจัดซื้อเรือดำน้ำ สำนักงบประมาณกลาโหมแจ้งต่อ กมธ.การทหาร ว่ายังไม่สามารถเปิดเผยสัญญาได้ เพราะในสัญญามีเงื่อนไขที่คู่สัญญาต้องปกปิดข้อมูลในสัญญา (NDA: Non-Disclosure Agreement) โดยต้องรอให้บริษัท CSOC อนุญาตก่อน ซึ่งทางกองทัพเรือได้ทำหนังสือขอไปยังบริษัท CSOC เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 66 แล้ว ในกรณีนี้ กมธ.การทหาร มีความเห็นแย้งว่า เงื่อนไข NDA นั้นระบุไว้เพียงแค่ห้ามเปิดเผยรายละเอียดในส่วนของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นความลับในการผลิตเท่านั้น ไม่ได้ห้ามเปิดเผยในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงบประมาณ การปกป้องเงินภาษี และผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

การไม่เปิดเผยข้อมูลจึงเป็นการตีความเงื่อนไข NDA อย่างกว้าง เพื่อปกปิดข้อมูลต่อประชาชน กมธ.การทหาร จึงมีมติให้ทำหนังสือแจ้งไปยังประธานรัฐสภา เพื่อให้ประธานรัฐสภาทำหนังสือต่อไปยังประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณ 2567 เพื่อให้ กมธ.พิจารณาร่างงบประมาณฯ ขอคำมั่นในการเปิดเผยข้อมูลด้านงบประมาณจากเหล่าทัพและกระทรวงกลาโหม ก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติงบประมาณในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ หากไม่ได้รับคำมั่น ก็ไม่ควรพิจารณาอนุมัติงบประมาณ เพราะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่ขาดความโปร่งใส และทำให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเสียหายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม กมธ.การทหาร จะติดตามทวงถามสัญญา G2G อีกครั้งในเดือนธันวาคม

สำนักงบประมาณกลาโหมชี้แจงด้วยว่า ในสัญญา G2G มีการระบุค่าปรับไว้ประมาณ 0.05-0.06% ต่อวันของมูลค่างานที่ส่งมอบไม่ได้ ซึ่ง กมธ.การทหาร ประเมินว่าน่าจะอยู่ราวๆ วันละ 0.05%x7,000 ล้านบาท = 3.5 ล้านบาท แต่การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้อยู่ในรูปแบบข้อตกลง ไม่ได้อยู่ในรูปแบบสัญญา จึงมีความยืดหยุ่นในการเจรจาหาทางออกร่วมกัน และอาจไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การปรับ ซึ่ง กมธ.การทหาร เห็นด้วยที่จะใช้การเจรจาในการหาทางออก เพียงแต่ว่าจะต้องเป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบที่อธิบายกับประชาชนไม่ได้

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า สำนักงบประมาณกลาโหม ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สัญญา G2G จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค. 66 โดยระหว่างนี้ทางบริษัท CSOC ได้ทำหนังสือแจ้งขอขยายสัญญาออกไป 123 วัน จากเหตุโควิด-19 แต่ยังไม่ได้อนุมัติ โดยการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับสัญญา ทางสำนักงบประมาณกลาโหมแจ้งว่า จะพิจารณาดำเนินการ หลังจากที่สัญญาสิ้นสุดลง ในประเด็นนี้ กมธ.การทหาร มีความกังวลอย่างมาก เพราะหนังสือทวงถาม หนังสือเร่งรัดติดตามโครงการ หรือหนังสือสงวนสิทธิ์ในการเรียกค่าปรับตามสัญญานั้น สามารถทำได้ในระหว่างสัญญา ไม่จำเป็นต้องรอให้สัญญาสิ้นสุดลงก่อน หากระหว่างนี้ ทั้งๆ ที่ปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว แต่กองทัพเรือกลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในข้างต้นนี้เลย ประเทศชาติก็อาจตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบได้ และในท้ายที่สุดทั้ง รมว.กลาโหมและกองทัพเรือ ก็ไม่อาจหนีพ้นจากความรับผิด กมธ.การทหาร จึงมีมติเสนอแนะเรื่องนี้ต่อสำนักงบประมาณกลาโหม เพื่อแจ้งให้ รมว.กลาโหมทราบต่อไป

นอกจากนี้ แม้ว่าในสัญญาไม่ได้ระบุชื่อเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องผลิตไฟฟ้าว่าเป็น MTU396 แต่การระบุสเปกว่า 16V 396 SE84-GB31L ก็คือเครื่องยนต์ MTU396 ไม่สามารถตีความเป็นเครื่องยนต์รุ่นอื่นได้ ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้ประเทศจีนได้รับลิขสิทธิ์มาผลิตกว่า 30 ปีแล้ว แต่ได้รับแจ้งในภายหลังว่าห้ามนำเอาเครื่องยนต์ดังกล่าวนี้มาติดตั้งในเรือดำน้ำ ทั้งการผลิตเพื่อใช้เองและการผลิตเพื่อส่งออก เนื่องจาก EU มีข้อตกลงร่วมที่ห้ามมิให้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ประเทศจีน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ประเด็นดังกล่าว กมธ.การทหาร เชื่อว่าอยู่ในวิสัยที่ทูตทหารจะต้องตั้งข้อสงสัยไว้บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน จึงได้สอบถามว่ากองทัพเรือได้ทำหนังสือขอคำยืนยันในเรื่องเครื่องยนต์ MTU396 ก่อนที่จะลงนามในสัญญาหรือไม่ ซึ่งสำนักงบประมาณกลาโหมแจ้งว่าไม่สามารถตอบแทนกองทัพเรือได้ กมธ.การทหาร จึงมีมติแจ้งให้ผู้ที่มาชี้แจงนำกลับไปเรียนต่อ รมว.กลาโหม ว่าหนังสือขอการยืนยันในเรื่องเครื่องยนต์ MTU396 ก่อนที่จะลงนามในสัญญานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากมิได้ดำเนินการ อาจถือได้ว่าเป็นความหละหลวม ซึ่งจำเป็นต้องมีการสืบสวน สอบสวน เพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อไป

นายวิโรจน์กล่าวว่า สำหรับงบประมาณที่ใช้จ่ายไปแล้วกับโครงการเรือดำน้ำ มีต่อไปนี้ (1) เรือดำน้ำ วงเงินงบประมาณ 13,900 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 63% (2) ท่าจอดเรือดำน้ำ ระยะที่หนึ่ง 857 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 54% (3) ท่าจอดเรือดำน้ำ ระยะที่สอง 810 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 50% (4) โรงซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ 1,016 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 43% (5) คลังเก็บตอร์ปิโดและทุ่นระเบิดสนับสนุน 129 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 60% (6) อาคารทดสอบและคลังอาวุธปล่อยนำวิถี 138 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 100% (7) ระบบสื่อสารควบคุมบังคับบัญชาเรือดำน้ำ 300 ล้านบาท (8) ระบบในการสื่อสารภาคพื้นดิน วงเงินงบประมาณ 70 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 10 ล้านบาท ส่วนอุปกรณ์ของระบบสื่อสาร วงเงินงบประมาณ 230 ล้านบาท ถูกชะลอโครงการ ยังไม่มีการเบิกจ่าย

สำหรับเรือหลวงช้าง 6,100 ล้านบาท และอาคารพักข้าราชการ 294 ล้านบาท แม้จะเบิกจ่ายไปเต็มจำนวนแล้ว แต่ กมธ.การทหาร มีความเห็นว่า ภารกิจของเรือหลวงช้าง นั้นมีภารกิจแยกต่างหาก ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของเรือดำน้ำแต่แรก แต่เป็นเพราะการสื่อสารที่ไม่ถูกต้องของกองทัพเรือ ที่อ้างว่าเรือหลวงช้างนั้นเป็นเรือพี่เลี้ยงของเรือดำน้ำ จึงทำให้ถูกผนวกมาเป็นโครงการเรือดำน้ำ ส่วนอาคารพักข้าราชการ มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสวัสดิการของข้าราชการ จึงไม่ควรนับเอา 2 รายการนี้ มารวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ

สรุปแล้วจากวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการให้มูลค่าความเสียหายอยู่ในวงจำกัด โดยไม่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อประโยชน์ในการติดตามตรวจสอบงบประมาณ กมธ.การทหาร จึงขอให้สำนักงบประมาณกลาโหมส่งข้อมูลเพิ่มเติม โดยของบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว พร้อมกับรายการโอนเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน

นายวิโรจน์กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ รมว.กลาโหม ตอบกลับมาว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ความเห็นว่า กรณีการเปลี่ยนแปลงสัญญาในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากการจัดซื้อเรือดำน้ำถูกตีความว่าเป็นข้อตกลง ไม่ใช่สัญญา จึงไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560

ในประเด็นนี้ กมธ.การทหาร มีความกังวลอย่างมาก เนื่องจากเจตนารมณ์ของมาตรา 178 ไม่ได้สนใจชื่อเรียกว่าเป็นข้อตกลงหรือเป็นสัญญา หากการลงนามดังกล่าวมีผลผูกพันกับความมั่นคงของประเทศ ย่อมถือว่าเป็นสัญญาระหว่างประเทศตามมาตรา 178 อย่างในกรณี “เขาพระวิหาร” ซึ่งเป็นเพียงแถลงการณ์ร่วม ก็ยังถือว่าเข้าข่ายตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ 2550 (เทียบเคียงได้กับมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560) หรืออย่างกรณีสัญญา G2G ของโครงการจำนำข้าว ก็ถูกตีความว่าเป็นสัญญาระหว่างประเทศ ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเช่นกัน และนำมาซึ่งการดำเนินคดีกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา

กมธ.ทหาร จึงมีมติส่งหนังสือทักท้วงไปยัง รมว.กลาโหม และขอให้ รมว.กลาโหม ส่งรายงานความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศ ที่ตีความว่าสัญญา G2G ในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่เข้าข่ายตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาให้ กมธ.ทหาร พิจารณาตรวจสอบด้วย

นายวิโรจน์กล่าวว่า ในกรณีการแลกเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกต ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากสำนักงบประมาณกลาโหม ว่าจะทำมาแทนโครงการสั่งต่อเรืออานันทมหิดล (เรือคู่แฝดของเรือหลวงภูมิพลที่เข้าประจำการเมื่อปี 2562) ซึ่งได้รับเงื่อนไขที่จะมาต่อเรือที่ประเทศไทย พร้อมกับได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศเกาหลีใต้หรือไม่

ซึ่ง กมธ.การทหาร มีความเห็นว่าการแลกเป็นเรือฟริเกตจีน (Type 054A) น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากองทัพเรือ แม้ว่าเรือฟริเกตจีนจะมีศักยภาพสูง แต่เป็นเรือคนละ Class กับเรือรบหลวงภูมิพล ที่สั่งต่อจากเกาหลีใต้ มีระบบการทำงาน การเชื่อมต่อข้อมูล (Datalink) การบำรุงรักษา การสำรองอะไหล่ ตลอดจนอาวุธที่ติดตั้งบนเรือ ที่แตกต่างกัน หากนำมาประจำการ จะเป็นภาระอย่างมากต่อกองทัพเรือ ที่สำคัญคือเรือฟริเกตจีน ใช้เครื่องยนต์ Pielstick ของฝรั่งเศส ซึ่งมีแนวโน้มสูงมาก ที่ฝรั่งเศสจะไม่ขายเครื่องยนต์ให้กับจีน เหมือนกับกรณีเครื่องยนต์ MTU396 ของเยอรมนี ซึ่งเท่ากับว่าหากแลกเป็นเรือฟริเกตจีน ก็อาจจะต้องพันวนมาที่ปัญหาเดิม

กมธ.การทหาร จึงมีมติให้ทบทวนการตัดสินใจโดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์การพัฒนากองทัพเรือ ที่ระบุเอาไว้ในสมุดปกขาวให้รอบคอบ เพราะตกลงแล้ว ณ วันนี้ กรณีแลกเป็นเรือฟริเกตจีนที่ รมว.กลาโหม อ้างว่าเป็นความประสงค์ของกองทัพเรือ แต่ข้อมูลที่ กมธ.การทหาร ทราบนั้นกลับเป็นไปในอีกทางหนึ่ง คือกองทัพเรือไม่ได้ต้องการ เพราะเป็นการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับสมุดปกขาว

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงบประมาณกลาโหม ได้ชี้แจงว่า เรือฟริเกตจีนอาจจะเป็นการสั่งต่อเพิ่มเติมจากเรือรบหลวงอานันทมหิดลก็เป็นได้ และตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ ก็ได้ระบุไว้ว่ามีความต้องการเรือฟริเกตถึง 8 ลำ โดยปัจจุบันมีเรือฟริเกตประจำการอยู่เพียง 5 ลำ ต่อให้มีเพิ่มอีก 2 ลำ คือเรือรบหลวงอานันทมหิดลและเรือฟริเกตจีน ก็ยังไม่เกินกรอบ 8 ลำ

ในประเด็นดังกล่าวนี้เพื่อความชัดเจน ทาง กมธ.การทหาร จะขอให้กองทัพเรือได้จัดส่งแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือที่ระบุว่าจำเป็นต้องมีเรือฟริเกต 8 ลำ พร้อมกับรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ซึ่งมีวงเงินงบประมาณในการศึกษาสูงถึง 200 ล้านบาท มาให้ กมธ. ได้พิจารณา และเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย เพราะในเมื่อการศึกษานั้นใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน ผลการศึกษาก็ควรต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ ทั้งนี้ กมธ.การทหาร จะติดตามกรณีเรือดำน้ำอีกครั้งในเดือนธันวาคม และจะติดตามอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีความชัดเจน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ย. 66)

Tags: , ,