หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานโดยอ้างข้อมูลจากรัฐบาลกลางและมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในปี 2564 สูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดในปี 2563 แล้ว แสดงว่าภัยคุกคามของเชื้อไวรัสยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยชี้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 พุ่งทะลุ 770,800 รายในวันเสาร์ (20 พ.ย.) ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการระบาดใหญ่ปีนี้ สูงกว่า 2 เท่าของยอดผู้เสียชีวิตเมื่อปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 385,343 ราย หากอิงจากข้อมูลใบมรณบัตรล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC)
“การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่ติดเชื้อได้ง่าย และอัตราการฉีดวัคซีนต่ำในบางชุมชน ถือเป็นปัจจัยสำคัญ” วอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุ “เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ผู้ป่วยและผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในหลายพื้นที่ อาทิ แถบนิวอิงแลนด์และมิดเวสต์ตอนบน โดยจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยรอบ 7 วัน ใกล้แตะระดับ 90,000 รายต่อวัน เทียบกับเดือนก่อน ซึ่งอยู่ที่เกือบ 70,000 รายต่อวัน “
ขณะเดียวกัน โรคโควิด-19 ก็ยังเป็นภัยคุกคามในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงสุดบางแห่ง เนื่องจากหลายแห่งกำลังเผชิญกับการระบาดอีกครั้ง ขณะทั่วโลกต่างเตรียมพร้อมที่จะจัดการและอยู่ร่วมกับโรคระบาดในระยะยาว
รายงานระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐปีนี้ สร้างความประหลาดใจให้แพทย์บางคน เนื่องจากพวกเขาเคยคาดว่าการฉีดวัคซีนและมาตรการป้องกันอย่างการเว้นระยะห่างทางสังคมและการลดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะ จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสและลดจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อย่างไรก็ดี กลุ่มนักระบาดวิทยาเผยว่าอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ บวกกับความเบื่อหน่ายจากการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันต่าง ๆ อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย ทำให้ไวรัสสายพันธุ์เดลตาสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 พ.ย. 64)
Tags: COVID-19, ฉีดวัคซีนโควิด, ยอดผู้เสียชีวิต, สหรัฐ, โควิด-19, โควิดสายพันธุ์เดลตา