ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ 5 อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส.ซึ่งประกอบด้วย นายชุมพล จุลใส, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, นายอิสสระ สมชัย,นายถาวร เสนเนียม และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ พ้นจากสมาชิกสภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลังต้องคำพิพากษาของศาลอาญาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลอาญา
คดีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (4) (6) และมาตรา 96 (2) หรือไม่
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องเฉพาะในส่วนที่ขอให้วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.ของผู้ถูกร้องทั้งห้าสิ้นสุดลงไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสี่ประกอบวรรคหนึ่ง และมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งห้าหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ 7 เม.ย.64 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง
ผู้ถูกร้องทั้งห้ายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตังกล่าวรวมไว้ในสำนวน และเห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องทั้งห้าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (4) (6) และมาตรา 96 (2) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 3 และผู้ถูกร้องที่ 5 ต้องคำพิพากษาของศาลอาญาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (4) และมาตรา 96 (2) นับแต่วันที่ 7 เม.ย.64 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 3 และผู้ถูกร้องที่ 5 หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องทั้งห้าต้องคำพิพากษาของศาลอาญาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลอาญา เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส.ของผู้ถูกร้องทั้งห้าจึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (6) นับแต่วันที่ 7 เม.ย.64 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งห้าหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง
เมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส.ของผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 สิ้นสุดลง ทำให้มีตำแหน่ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงและต้องดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่ง ส.ส.ว่างลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 จึงให้ถือว่าวันที่ตำแหน่ง ส.ส.ว่างลง คือ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลมีผลในวันอ่าน คือ วันที่ 8 ธ.ค.64
และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส.ของผู้ถูกร้องที่ 2 และผู้ถูกร้องที่ 3 สิ้นสุดลง ทำให้มีตำแหน่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อว่างลง ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องประกาศให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่างลง โดยต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (2) จึงให้ถือว่าวันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง คือ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยของศาลมีผลในวันอ่าน คือ วันที่ 8 ธ.ค.64
สำหรับกรณีสมาชิกภาพของ ส.ส.ของผู้ถูกร้องที่ 5 ว่างลงนับแต่เมื่อใดนั้น เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 5 มีหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง ต่อมามีประกาศสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 31 พ.ค.64 ให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (2) ในวันดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ธ.ค. 64)
Tags: กกต., กปปส., การเมือง, พรรคการเมือง, ศาลรัฐธรรมนูญ, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, เลือกตั้ง