จากการที่พรรคก้าวไกล ได้มีการหยิบยกประเด็นการลดค่าไฟฟ้าของรัฐบาลมาเป็นประเด็นในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยพาดพิงว่าการดำเนินการดังกล่าวทำให้เป็นปัญหาการเงินกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) นั้น
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงว่า ข้อมูลคาดการณ์ ที่นายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล นำมาอภิปรายเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ต.ค. 66 เพื่อแสดงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น และไม่ได้แปลว่าจะเกิดขึ้นจริงตามนั้น เพราะ กฟผ. จะต้องบริหารจัดการมิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม กฟผ. ต้องประมาณการแบบร้าย (Worst case scenario) ไว้ก่อน และตารางหรือกราฟนั้นก็เป็นเพียงเอกสารภายในที่ใช้เพื่อชี้แจงพนักงานของ กฟผ. ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลจริงในการบริหาร และไม่อาจใช้อ้างอิงได้ เพราะไม่ใช่ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจริง
ขณะที่มีปัจจัยที่เป็นข้อมูลจริงอื่นๆ ที่ทำให้ กฟผ. มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ตามตารางที่นำมาแสดงอีกประมาณเกือบ 15,000 ล้านบาท เช่น กำไรจากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท กำไรจากการรับงานภายนอกองค์กรประมาณ 1,000 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 2,600 ล้านบาท ต้นทุนลดลงจากการบริหารจัดการประมาณ 5,000 ล้านบาท และกำไรจากรายได้อื่นๆ ประมาณ 2,100 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ ณ สิ้นปี 66 กฟผ. มีเงินสดคงเหลือจริงประมาณ 91,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 63,623.6 ล้านบาท
นายพีระพันธุ์ ระบุว่า อัตราค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนตามการคาดการณ์ในตารางจะอยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วย ตลอดปี 67 และคาดการณ์ว่าเป็นภาระของ กฟผ. เองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ข้อมูลจริง ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอยู่ระหว่าง 4.15-4.20 บาท/หน่วย ตั้งแต่ม.ค.-เม.ย. 67 ส่วนค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย ที่รัฐบาลคงไว้ที่ 3.99 บาท/หน่วยนั้น รัฐบาลเป็นผู้แบกรับภาระจากเงินงบกลางเป็นเงินประมาณ 1,995 ล้านบาท จึงไม่เป็นภาระของ กฟผ. ฝ่ายเดียว ตามข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาแสดง
การแบกรับภาระอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงทั้งสองครั้งนี้ ตามข้อมูลคาดการณ์ เป็นการคาดการณ์ว่า กฟผ. จะเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ตามข้อมูลจริง รัฐบาลมีการบริหารจัดการและช่วยดำเนินการในหลายรูปแบบ โดยในครั้งนี้รัฐบาลมีการปรับโครงสร้าง Pool Gas และให้สำนักงานคณะกรรมการ กำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เรียกเก็บค่า Shortfall มาลดภาระ รวมทั้งใช้เงินงบกลางเข้ามาช่วยลดภาระ กฟผ. ด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูล อัตราค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนและการแบกรับภาระอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงนี้ก็ไม่ปรากฎในตารางที่เป็นข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาพูด เพราะในเวลาที่ทำตารางเมื่อเดือนต.ค. 66 นั้น ข้อมูลจริงนี้ยังไม่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ จากสถานะการเงินที่เป็นข้อมูลจริง ณ สิ้นปี 66 กฟผ. มีเงินสดในมือประมาณ 91,000 ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ณ เดือนม.ค. 67 เพียงหนึ่งเดือนให้หลังกระแสเงินสดของ กฟผ. ก่อนหักค่าใช้จ่ายจะเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท ตามข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาแสดง
นอกจากนี้ มาตรฐานทางการเงินของ กฟผ. จะต้องคงสถานะเงินสดไม่ให้ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท หากเมื่อใดมีแนวโน้มว่าจะลดต่ำลงกว่ามาตรฐานนี้ กฟผ. จะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ทันที และที่ผ่านมา กฟผ. ก็ดำเนินการตามนี้จึงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงที่สถานะการเงินจริงของ กฟผ. ในปี 67 จะลดลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นติดลบในเดือนก.ค.,ต.ค. และธ.ค. 67 ตามข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาแสดง
ตามข้อมูลจริงนั้น กฟผ. ชำระหนี้เดิมที่มีกับ ปตท. หมดสิ้นแล้วตั้งแต่ม.ค. 66 สำหรับปี 66 ทั้งปีนั้น กฟผ. ไม่ได้ติดหนี้ ปตท. โดยมีการชำระหนี้ให้ ปตท. ตามกำหนดเวลาตลอดมา ณ วันนี้ กฟผ. จึงไม่มีหนี้สินกับ ปตท. อีก
สำหรับการส่งรายได้ให้รัฐของ กฟผ. กำหนดมาตรฐานไว้ที่ประมาณ 50% ของกำไรในแต่ละปี สำหรับปี 66 ที่ผ่านมา ตามข้อมูลคาดการณ์ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าในปี 66 ว่า กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐ 17,142 ล้านบาท แต่ตามข้อมูลจริง กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐสำหรับปี 66 นี้ประมาณ 24,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 17,142 ล้านบาท ตามข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาพูด ข้อมูลที่นำมาพูดจึงผิดไปจากความจริงที่เป็นข้อมูลจริงถึง 28.575% และนี้ยังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของ กฟผ. ด้วยว่าขนาดอัตราค่าไฟฟ้าลดลง แต่ กฟผ. ยังสามารถนำส่งรายได้สูงกว่าข้อมูลคาดการณ์ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
ส่วนปี 67 ล่าสุด กฟผ. คาดการณ์ว่าจะนำส่งเงินรายได้ประจำปี 67 ให้รัฐประมาณ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 66 ประมาณ 16.6666% ไม่ใช่จะนำส่งรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 66 ถึง 65% จาก 17,142 ล้านบาท เป็น 28,386 ล้านบาท ตามข้อมูลคาดการณ์ ที่นำมาพูดอีกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม กฟผ. อาจสามารถบริหารจัดการให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นเดียวกับปี 66 ที่ผ่านมานี้ได้อีกก็เป็นไปได้
“ฟังแล้วน่าตกใจว่า รัฐไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม ประชาชนทางบ้านและสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะตกใจตามไปด้วย ผมก็ตกใจครับ ไม่ได้ตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ท่านพูด แต่ตกใจว่าทำไมท่านเลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียงข้อมูลคาดการณ์ที่ทำล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ต.ค. 66 ปีที่แล้วมาพูด แทนที่จะเอาข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นจริง ณ เวลานี้ มาพูด”
นายพีระพันธุ์ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ม.ค. 67)
Tags: ค่าไฟฟ้า, งบประมาณปี 67, พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย, พรรคก้าวไกล, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค