นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา “ธุรกิจ-สังคม สร้างภูมิคุ้มกัน ฝ่าภัยโควิด” ว่า ในอีก 1-2 เดือนนี้ รัฐบาลจะมีการออกมาตรการเสริม เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนการใช้จ่ายให้ภาคประชาชน และช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี เบื้องต้นคาดว่ามาตรการจะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปีใหม่ด้วย
รมว.คลัง มั่นใจว่าในปี 64 เศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตเป็นบวกได้ เพราะภาคการส่งออกสามารถขยายตัวได้ดี แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมาก็ตาม และในปี 65 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีขึ้นเป็น 4-5%
“ปี 65 หากเศรษฐกิจขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ คือ 4-5% แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่าคงทำได้แค่ 3-4% เท่านั้น แต่ก็คิดว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ ไม่ติดลบ เป็นบวกย่อมดีกว่าติดลบอยู่แล้วแม้ว่าจะมากหรือน้อย แต่การฟื้นตัวก็จะค่อย ๆ เป็นไปก็จะส่งผลดีกับเศรษฐกิจ”
นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวอีกว่า นโยบายการเงินและการคลังในช่วงนี้ต้องประสานกัน นโยบายการเงินต้องผ่อนคลายให้นโยบายการคลังสามารถดำเนินการได้เต็มที่ โดยช่วงนี้รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
“นโยบายการเงินก็ต้องผ่อนคลาย ต้องทำนโยบายนอกตำรา ตำราเศรษฐศาสตร์ที่เคยเรียนกันมาต้องพักไว้สักพัก เพราะประชาชนเดือดร้อน ดังนั้นก็ต้องใช้ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังแบบนอกตำรา”
นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวอีกว่า เมื่อมีการใช้จ่ายเกิดขึ้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับการใช้จ่าย โดยต้องดูเสถียรภาพและความมั่นคงทั้งในระบบการเงิน การใช้จ่ายของประเทศ และเงินรายได้ที่จะนำมาใช้ การจัดเก็บรายได้รัฐต้องเพียงพอ ซึ่งในอนาคตตกระทรวงการคลังยังมีนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณให้น้อยลง เพื่อสร้างเสถียภาพให้ภาคการคลังของประเทศ
ทั้งนี้ นายอาคม มองว่า มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปหรือปรับโครงสร้างการจัดเก็บรายได้เพื่อเสถียรภาพด้านการคลังในระยะยาว ทุกประเทศดำเนินการเรื่องนี้กันหมด เพราะที่ผ่านมาเรามีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ส่วนหนึ่งมาจากข้อจำกัดเรื่องผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ในปี 2563-2564 ในเรื่องของรายได้ภาษี เพราะภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
สำหรับการขยับเพดานหนี้สาธารณะนั้น เพื่อเปิดช่องให้รัฐบาลมีช่องในการใช้เงินในอนาคต ถ้าหากมีความจำเป็น โดยไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลขยับเพดานแล้วจะต้องเดินหน้ากู้เงินทันที และก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะ ปีงบประมาณ 2565 ซึ่งในส่วนนี้จะมีเรื่องแผนการก่อหนี้ใหม่เพื่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
แม้ว่าแผนการก่อหนี้ดังกล่าวจะส่งผลทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย ณ เดือน ก.ย.65 เพิ่มมาอยู่ที่ 62% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารจัดการ และยังอยู่ภายใต้เพดานหนี้สาธารณะที่ได้ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว โดยเชื่อว่าปีหน้าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นอย่างน้อย 3-4% และในปีต่อ ๆ ไป 4-5% สัดส่วนหนี้สาธารณะก็จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในขณะนี้มี 3 เรื่องที่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่ม คือ 1.ด้านดิจิทัล 2. การดูแลด้านสิ่งแวดล้อม สภาวะภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ และ 3.นโยบายชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนกรณีที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ 1% จากเดิมที่ 2.2% นั้น นายอาคม มองว่า เป็นผลมาจากความยืดเยื้อของสถานการณ์โควิด-19 แต่ขณะนี้เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว โดยรัฐบาลให้หลักประกันว่า ภายในเดือน ธ.ค. นี้ อัตราการฉีดวัคซีนจะทำได้ 70% ของประชากรแน่นอน
ทั้งนี้ ธนาคารโลกมองว่าในช่วงวิกฤติการระบาดของโควิด รัฐบาลหลายประเทศจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวมาจากการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลและการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น โดยธนาคารโลกมองว่า จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ 2-3 ปีเท่านั้น และตั้งแต่ปี 63-64 รัฐบาลมีการกู้เงินแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ขณะที่จีดีพีในปีที่ผ่านมาติดลบ นั่นหมายถึงรายได้ประเทศลดลง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 64)
Tags: SME, จีดีพี, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธปท., นโยบายการคลัง, นโยบายการเงิน, หนี้สาธารณะ, อาคม เติมพิทยาไพสิฐ, เศรษฐกิจไทย, เอสเอ็มอี