ยอดผู้ป่วยโรคหัดในยุโรปพุ่งเป็น 2 เท่าในปี 67 เหตุอัตราฉีดวัคซีนตกต่ำยุคหลังโควิด

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การยูนิเซฟเปิดเผยเมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) ว่า จำนวนผู้ป่วยโรคหัดในภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2567 ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี พร้อมเร่งผลักดันให้มีการฟื้นฟูอัตราการฉีดวัคซีนที่ทรุดตัวลงหลังวิกฤตโควิด-19

แถลงการณ์ของ WHO ระบุว่า ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 127,350 ราย ที่พบในภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลางรวม 53 ประเทศ เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มากกว่า 40%

“โรคหัดกลับมาแล้ว และถือเป็นสัญญาณเตือน” ฮันส์ คลูเกอ ผู้อำนวยการ WHO ประจำภูมิภาคยุโรปกล่าว

ยูนิเซฟชี้แจงว่า แม้การล็อกดาวน์ในช่วงโควิดจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข แต่ปัญหาสำคัญคือการแพร่กระจายของข่าวปลอมที่ทำให้ผู้ปกครองลังเลที่จะพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีน

“การระบาดของข้อมูลเท็จทั้งในช่วงโควิดและหลังโควิด ส่งผลให้ประชาชนเกิดความลังเลใจต่อการรับวัคซีนมากขึ้น” ฟาตีมะ เซนจิก ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันประจำภูมิภาคของยูนิเซฟกล่าว

WHO รายงานว่า หลังจากอัตราการฉีดวัคซีนลดลงในช่วงโควิด-19 จำนวนผู้ป่วยก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 และ 2567 โดยหลายประเทศยังไม่สามารถฟื้นฟูอัตราการฉีดวัคซีนให้กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิดได้

WHO เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเข็มแรกในปี 2566 ของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, มอนเตเนโกร, มาซิโดเนียเหนือ และโรมาเนีย ต่ำกว่า 80% ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 95% ที่จำเป็นต่อการป้องกันการระบาด

ทั้งนี้ โรมาเนียครองอันดับหนึ่งผู้ป่วยโรคหัดสูงสุดในภูมิภาคยุโรปในปี 2567 ด้วยจำนวน 30,692 ราย ตามด้วยคาซัคสถาน 28,147 ราย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มี.ค. 68)

Tags: , , , , ,