มองมุมต่าง: ความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยที่ต่ำกว่าการลงทุนในต่างประเทศ

ในช่วงที่ผ่านมา มีกูรู-อินฟลูเอนเซอร์ ทางด้านการเงินที่เกี่ยวกับตลาดทุน ออกมาประเมินความน่าสนใจของการลงทุนในต่างประเทศ จากการบวกเพิ่มขึ้นของตัวเลขดัชนีที่เป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ เทียบกับตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงสวนทางกัน

โดยมองว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศ รวมถึงราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดึงดูดและสร้างความเชื่อถือว่า สถานะของราคาหุ้นที่บวกจะทำให้เกิดผลกำไรได้หากเราเข้าไปลงทุน

ในทางกลับกัน สถานะของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงรวม 300 จุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 รวมถึงหุ้นรายตัวทำจุดต่ำสุดมากกว่าช่วงโควิดเริ่มระบาดเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา

แต่การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้มองแค่เฉพาะ “ผลบวก-ผลลบ” ของราคาหุ้นในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ควรโฟกัส คือ จังหวะในการเข้าลงทุนต่างหากที่น่าสนใจกว่าผลบวกหรือลบในอดีต

ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าตลาดสหรัฐฯ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีติดต่อกันเป็นปีที่ 3 เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการกลับมาของ Donald Trump และนโยบายที่เอื้อต่อเศรษฐกิจของสหรัฐเอง ประกอบกับการลงทุนใน AI ที่ยังเติบโต ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด

อย่างไรก็ตาม คำถามที่ต้องพิจารณาคือ ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จะสามารถไปต่อได้อีกหรือไม่?

  • สหรัฐฯ: ความท้าทายของตลาดที่อยู่ในจุดสูงสุด

แม้สหรัฐฯ จะยังมีปัจจัยบวก แต่ก็ต้องจับตาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจจำกัดความสามารถของเฟดในการลดดอกเบี้ย อีกทั้งหาก Donald Trump กลับมาใช้นโยบายภาษีศุลกากรแบบเดิม อาจทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นจาก Supply Shock และส่งผลกระทบต่อภาคการบริโภค

นอกจากนี้ Trump อาจจำเป็นต้องลดการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ GDP และทำให้การลงทุนภาคธุรกิจชะลอตัว ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงแล้ว

  • ตลาดหุ้นจีน : ความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นโอกาส

เศรษฐกิจจีนเผชิญปัจจัยลบหลายประการ เช่น การเติบโตที่ต่ำกว่าคาด ราคาที่อยู่อาศัยที่ยังไม่ฟื้นตัว และความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงกลับให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีที่ผ่านมา สวนทางกับความเห็นของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนเดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย ปรับค่าเงินให้ต่ำลงเพื่อลดผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และสนับสนุนสภาพคล่องในระบบ อีกทั้งจีนยังมีระดับ M2 และอัตราการออมของผู้บริโภคที่สูง ซึ่งหากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาก็มีโอกาสที่การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ สัญญาณฟื้นตัวของ Global Manufacturing PMI และราคาที่อยู่อาศัยในจีนเริ่มชะลอตัวน้อยลง อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อใดก็ตามที่ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว ฝั่งผู้บริโภคก็จะได้รับอานิสงส์ ทำให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศและขับเคลื่อน GDP ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเฝ้าจับตามอง

  • ตลาดหุ้นไทย: ทางออกที่ต้องการนโยบายที่ชัดเจน

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยที่เป็นตลาดหุ้นยอดแย่ของโลก 3 ปีติดต่อกัน ยังคงเผชิญความท้าทาย ท่ามกลางภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นสัญญาณเชิงบวก หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง กำลังซื้ออ่อนแอ ภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง รายได้ต่อครัวเรือนไม่เติบโต SMEs ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากการทุ่มตลาดของบริษัทจีน

นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยยังเผชิญปัญหาด้านธรรมาภิบาล (CG) การลงทุนที่ไม่สมเหตุสมผล และความล้มเหลวในอดีต ส่งผลให้ ROE ตกต่ำต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ หากไทยมีดุลการค้าเกินดุลเกิน 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงไม่แปลกใจที่นักลงทุนไทยเลือกเทขายหุ้น LTF และสินทรัพย์ในประเทศ เพื่อโยกเงินไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯ แม้ว่าตลาดสหรัฐฯ จะอยู่ในช่วงขาขึ้นมาหลายปีแล้วก็ตาม

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยอ่อนแอ คือ การยกเลิก LTF ซึ่งทำให้ตลาดขาดเงินทุนระยะยาว ส่งผลให้การระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนลดลง การลงทุนภาคธุรกิจซบเซา และสภาพคล่องในระบบถดถอย

หากไทยต้องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ควรมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อาทิ

1.การสนับสนุนการออมผ่านตลาดทุนไทย นำ LTF กลับมาเป็นทางเลือกในการลดหย่อนภาษี เพื่อจูงใจให้เม็ดเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาด

2.การส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่ม ROE เพื่อดึงดูดการลงทุน รวมถึงการปรับนโยบายทางการเงินและการคลังให้สอดคล้องกัน โดยเน้นการลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและกระตุ้นความมั่นใจในภาคธุรกิจ

3.การใช้ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนมาซื้อหุ้นคืน

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความท้าทาย แต่หากมีการปรับเปลี่ยนนโยบายที่เหมาะสมก็ยังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวในระยะยาว ซึ่งยังคงมีความหวังว่าเมืองไทยยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว

หากนักลงทุนเริ่มมองว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ เช่น จีน เอเชีย ตลาดเกิดใหม่ (EM) หรือ ยุโรป อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี ปัจจัยหลักที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือ นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนกว่าในหลายประเทศนอกสหรัฐฯ ซึ่งตรงข้ามกับเฟดที่ยังเผชิญข้อจำกัดจากเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเหล่านี้ยังมีความคาดหวังที่ต่ำกว่า และนักลงทุนถือครองสินทรัพย์ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่า หากมีปัจจัยเชิงบวกเข้ามา เช่น การเติบโตของ GDP การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน หรือนักวิเคราะห์ปรับประมาณการขึ้น รวมถึง กนง. ลดดอกเบี้ยเพื่อเสริมสภาพคล่องเข้าระบบ อาจส่งผลให้ตลาดสร้างผลตอบแทนที่เหนือความคาดหมาย (Positive surprise) ได้

หากตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มนี้ ประกอบกับมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดทุนในประเทศ อาจทำให้มีโอกาสฟื้นตัวและสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็เป็นได้

ธิติ ภัทรยลรดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 มี.ค. 68)

Tags: , , , , ,