นายนิพนธ์ เอกวานิช ประธานกรรมการบริษัท ภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ภูเก็ต sandbox ปลดล็อกการท่องเที่ยวไทย?”ที่จัดขึ้นโดยพรรคเพื่อไทยว่า ภูเก็ตเป็นจังหวัดแรกที่พบการระบาดของโควิด-19 ในช่วงปลายเดือน มี.ค.63 จากนั้นได้มีการปลดล็อกดาวน์ในเดือน พ.ค.63 ภาคธุรกิจได้ปรับตัวออกโปรโมชันลดราคาเพื่อกระตุ้นรายได้ แต่นักท่องเที่ยวกลับมาได้เพียง 20% เท่านั้น
และเมื่อเกิดการระบาดซ้ำในระลอก 2 และระลอก 3 ได้สร้างความเสียหายให้กับจังหวัดภูเก็ตหลายแสนล้านบาท เอกชนและภาครัฐของจังหวัดจึงได้เสนอโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อเปิดให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าภูเก็ตในวันที่ 1 ก.ค.64 แต่ต้องกักตัว 7 วัน โดยใน 5 วันแรกจะมีการตรวจหาเชื้อหากไม่พบจึงจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในจังหวัดได้ แต่ต่อมา ศบค.กลับมีคำสั่งให้เพิ่มเวลากักตัวเป็น 14 วัน ซึ่งสร้างความสับสนให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก
“ผมอยากเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างระบบสั่งการคนเดียว (Single command) เหมือนกรณีหมูป่าที่เชียงราย ไม่อย่างนั้นจะติดหล่มการฟื้นตัว และขอยืนยันว่าหากคนภูเก็ตไม่ได้ฉีดวัคซีนถึง 70% จะไม่เปิดเกาะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแน่นอน ซึ่งภาครัฐต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ และทุกฝ่ายต้องระดมสรรพกำลังทำให้โมเดลนี้สำเร็จ เพื่อให้จังหวัดท่องเที่ยวอื่นนำไปดำเนินการต่อได้”
นายนิพนธ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายนิพนธ์ กล่าวว่า ในปี 62 จังหวัดภูเก็ตสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 400,000 ล้านบาทต่อปี โดยเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 300,000 ล้านบาท นักท่องเที่ยวไทย 70,000 ล้านบาท
ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ทีมนโยบายสาธารณสุข พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การออกจากวิกฤตการระบาดของโควิด-19 มี 2 แนวทาง ได้แก่ 1.ต้องใช้หลักการระบาดวิทยาหรือมาตรการด้านสาธารณสุข ทุกคนในเมืองท่องเที่ยวต้องได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และ 2.การเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น ทุกคนต้องได้รับการตรวจ ลงทะเบียน หรือสามารถบอกได้ว่าแต่ละคนมีภูมิคุ้มกันอย่างไร
โดยขอเสนอให้ภาคเอกชนจังหวัดภูเก็ตตั้งคณะทำงานพิเศษยกร่างแผนการบริหารจัดการด้วยเอง แล้วเสนอให้ ศบค.ดำเนินการตามแผนนี้เพื่อให้ได้แนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่กลับไปกลับมาเหมือนที่เป็นอยู่
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามมาตรการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์นั้นรัฐบาลจะใช้งบลงทุนน้อยมาก ซึ่งเมืองรองอื่น เช่น หนองคาย อุบลราชธานี จะต้องขยับตามด้วย เพียงแค่รัฐบาลจัดซื้อวัคซีนไม่กี่หมื่นชุดต่อหนึ่งเมืองหลักจะเป็นเครื่องมือสำคัญสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้
ด้าน น.ส.ชนก จันทาทอง โฆษกคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวคืออุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และแม้จังหวัดภูเก็ตพร้อมรับทุกเงื่อนไข แต่ปัญหาเดียวคือ ความชัดเจนและการจัดการของ ศบค. รวมถึงปัญหาการสื่อสารเพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยว การใช้คำ “กักตัว” อาจไม่เหมาะสม หากเปลี่ยนเป็น “จำกัดพื้นที่เพื่อความปลอดภัย” อาจจูงใจการท่องเที่ยวมากกว่า
จึงอยากให้ ศบค.พิจารณาว่าหลักการหรือหลักปากท้องประชาชนมีความสำคัญกว่ากัน หากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์โมเดลเปิดได้ จังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ของประเทศไทยก็มีความหวังจะพลิกฟื้นกลับมาทำมาหากินได้เช่นกัน
ขณะที่ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากเรียกร้องภาครัฐมีความจริงใจในการแก้ปัญหาภาคการท่องเที่ยวไทยที่ได้รับความเสียหายจากการระบาดของโควิด-19 ทั้ง 3 ระลอก เพราะเมื่อดูจากงบประมาณปี 2565 เป็นงบสำหรับการท่องเที่ยวเพียง 0.2 % ของงบทั้งหมดเท่านั้น ทั้งที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของโลก
“การท่องเที่ยวจะกลับมาได้ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาเร็วที่สุด พาสปอร์ตวัคซีนเล่มแรกอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ภูเก็ตและจังหวัดท่องเที่ยวบอบช้ำมามากแล้ว หากเกิดการระบาดระลอก 4 ท่านจะรับมืออย่างไร”
นายจักรพล กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 มิ.ย. 64)
Tags: Phuket Sandbox, การท่องเที่ยว, จักรพล ตั้งสุทธิธรรม, ชนก จันทาทอง, ชลน่าน ศรีแก้ว, นักท่องเที่ยว, นิพนธ์ เอกวานิช, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ภาคเอกชน, ภูเก็ต, ภูเก็ตพัฒนาเมือง, ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์, ศบค.