นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เพื่อเยี่ยมชมการผลิตน้ำผึ้งของวิสาหกิจชุมชนสมายล์ บี และจัดเสวนาหัวข้อ “การพัฒนาศักยภาพน้ำผึ้งไทยสู่การค้าเสรี” ให้กับกลุ่มผู้ผลิตน้ำผึ้งแล้วพบว่าป่าแดดเป็นอำเภอที่มีการเลี้ยงผึ้งกันมาอย่างยาวนานหลายครอบครัว ในช่วงเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ เป็นการเลี้ยงเพื่อจำหน่ายน้ำผึ้งให้กับผู้สนใจนำไปบรรจุขวดและขายต่อ ไม่ได้ขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง จึงทำให้ขาดอำนาจการต่อรองราคา ต่อมากลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งจึงได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมายล์ บี เพื่อนำน้ำผึ้งมาบรรจุขวด ตรวจสอบคุณภาพ และจัดจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรงเอง ทำให้สามารถกำหนดราคาจำหน่ายได้ตามต้องการมากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมายล์ บี สนใจขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยเฉพาะไปยังกลุ่มผู้รักสุขภาพในจีนและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดพรีเมี่ยม จึงได้แนะนำให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน เช่น มาตรฐานการผลิตอาหาร GMP (Good Manufacturing Practice) และการรับรองมาตรฐานฟาร์ม GAP (Good Agricultural Practice) เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออก นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยทำกับคู่ค้า เนื่องจากปัจจุบัน 14 ประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ได้แก่ อาเซียน จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับน้ำผึ้งธรรมชาติที่ส่งออกจากไทยแล้ว ยังเหลืออีก 4 ประเทศคู่เอฟทีเอคือ อินเดีย ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าน้ำผึ้ง 60% ญี่ปุ่น 25.5% เกาหลีใต้ 194.4% และเปรู 6%
ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำผึ้งอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากเวียดนาม และเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ในปี 2564 ไทยส่งออกน้ำผึ้งสู่ตลาดโลก 10,315 ตัน คิดเป็นมูลค่า 22.48 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25% จากปี 2563 ตลาดส่งออกสำคัญในอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นสัดส่วน 29% ของการส่งออกไปโลก รองลงมา คือ จีนไทเป สหรัฐอเมริกา จีน และซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมกิจการของบริษัท โกโก้แลนด์ คอร์ปอเรชั่น ที่นำผลโกโก้สดและผลโกโก้แห้งมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์โกโก้หลากหลายชนิด มีมาตรฐาน และรสชาติดี จนเป็นที่ยอมรับและรู้จักของผู้บริโภค จากการหารือพบว่า บริษัทมีแผนจะส่งออกผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์จากโกโก้ที่เพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ จากการเติบโตของห้างสรรพสินค้า ร้านคาเฟ่และขนม ความใส่ใจเรื่องสุขภาพ จึงเป็นความท้าทายของไทยที่จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์โกโก้ไทยมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และผลิตได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้โกโก้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดของไทย ที่จะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่เกษตรกร
ขณะนี้ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ช่วยสร้างแต้มต่อในตลาดสำคัญ เนื่องจากปัจจุบัน 14 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ อาเซียน จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และชิลี ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าโกโก้และของปรุงแต่งจากโกโก้ที่ส่งออกจากไทยแล้ว ยังเหลืออีก 4 ประเทศ คือ อินเดียเก็บภาษีสินค้าขนมและอาหารปรุงแต่งที่ทำจากโกโก้ 30% ญี่ปุ่น 1-29.8% เกาหลีใต้ 5% และเปรู 6-11%
ในปี 2564 ไทยส่งออกโกโก้และของปรุงแต่งจากโกโก้สู่ตลาดโลก มูลค่า 42.22 ล้านดอลลาร์ โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ ญี่ปุ่น มูลค่า 14.93 ล้านดอลลาร์ อาเซียน มูลค่า 14.73 ล้านดอลลาร์ (ตลาดส่งออกหลัก คือ เมียนมา สปป.ลาว และมาเลเซีย) และจีน มูลค่า 5.27 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ช็อกโกแลต และอาหารปรุงแต่งอื่นๆ ที่มีโกโก้ ผงโกโก้ที่ไม่เติมน้ำตาลหรือสารทำให้หวานอื่น เป็นต้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.พ. 65)
Tags: FTA, กระทรวงพาณิชย์, น้ำผึ้ง, วิสาหกิจชุมชน, ส่งออก, อรมน ทรัพย์ทวีธรรม, เอฟทีเอ, โกโก้