พาณิชย์ เอาจริงลด PM2.5! ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประเดิมกลุ่มแรกต้องมีใบรับรองปลอดเผา

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมแนวทางการดำเนินการเพื่อลดปัญหา PM 2.5 ข้ามพรมแดน ว่า ที่ประชุมฯ เห็นด้วยในหลักการที่จะกำหนดมาตรการให้ผู้นำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด โดยต้องแสดงเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกว่า สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าในงวดดังกล่าว เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา และพิสูจน์ได้ว่า ผู้เพาะปลูก/ผู้ส่งออก/ผู้รวบรวมมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ และต้องมีภาพแผนที่แสดงถึงแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูกให้ชัดเจน

เบื้องต้นจะใช้บังคับกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นลำดับแรก ก่อนขยายขอบเขตไปยังสินค้าเกษตรอื่น ๆ ต่อไป โดยมั่นใจว่ากระบวนการดังกล่าวจะไม่ขัดต่อหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) และพันธกรณีตาม FTAs ที่ไทยเป็นภาคี และไม่สร้างภาระแก่ผู้ประกอบการจนเกินความจำเป็น หลังจากนี้จะได้หารือกันในรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบต่อไป

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ระหว่าพูดคุยกันในรายละเอียด ภาคเอกชนทั้งสมาคมผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ และภาคธุรกิจของไทยที่เข้าไปลงทุนด้านการทำเกษตรในประเทศเพื่อนบ้านต่างร่วมแสดงเจตจำนงชัดที่จะจัดการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนที่เป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ

นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศจะประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้รับทราบมาตรการของไทย และเร่งขอให้มีการกำหนด CA เพื่อออกหนังสือรับรองต่อไป และจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องป้องกันการลักลอบนำเข้าด้วย

ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ประมาณ 4-5 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีความต้องการใช้ประมาณ 8-9 ล้านตันต่อปี จึงมีความจำเป็นต้องมีการนำเข้า ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเข้าประมาณปีละ 1.33-1.83 ล้านตัน แหล่งนำเข้าที่สำคัญของไทย คือ ประเทศเพื่อนบ้าน โดยปี 2567 ไทยมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปริมาณรวม 2.011 ล้านตัน มูลค่า 19,426.90 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้น 51.07% และ 27.91% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นการนำเข้าจากเมียนมามากที่สุดในสัดส่วน 87% ของปริมาณการนำเข้า รองลงมา คือ สปป.ลาว 12.61% และ กัมพูชา 0.39% ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ม.ค. 68)

Tags: , , , ,