พาณิชย์ เร่งเจรจา FTA ไทย-อียู ตั้งเป้าปิดดีลภายใน 25 ธ.ค.

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือผ่านระบบประชุมทางไกล กับ นายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และความโปร่งใส เพื่อผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (EU) ตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปการเจรจาภายในปีนี้ เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ ในการขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุนจากยุโรปให้มากขึ้น

ซึ่งขณะนี้ การเจรจา FTA ไทย-EU ดำเนินไปแล้ว 4 รอบ โดยสามารถสรุปผลการเจรจาได้ 2 บท และเริ่มหารือเรื่องการเปิดตลาดสินค้าและบริการแล้ว สำหรับการเจรจารอบที่ 5 ฝ่าย EU จะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 31 มี.ค. – 4 เม.ย.68 โดยไทยกับอียู จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถบรรลุผลการเจรจา FTA ภายในวันที่ 25 ธ.ค. 68

“แม้การเจรจา FTA ฉบับนี้จะซับซ้อน และมีประเด็นใหม่ ๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ พลังงานและวัตถุดิบ รัฐวิสาหกิจ และการอุดหนุน การแข่งขันทางการค้า และระบบอาหารที่ยั่งยืน แต่กระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างแข็งขัน ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และหารือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเจรจาบรรลุผลและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้บริโภคไทย” รมว.พาณิชย์ ระบุ

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า EU เป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และเป็นพันธมิตรทางการค้ารายสำคัญของไทย หากสามารถสรุปผลการเจรจา FTA ได้ จะช่วยสร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยในการแข่งขันระดับโลก ลดต้นทุนการผลิต ดึงดูดการลงทุน และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย

นายพิชัย ย้ำว่า การเร่งสรุป FTA ไทย-EU ไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าการค้า แต่เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย โดยไทยจะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ เพื่อขยายตลาด ลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และดึงดูดนักลงทุนจากยุโรปให้มากขึ้น ซึ่ง FTA ไทย-EU จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ไทยปรับตัวได้ดีขึ้นต่อการแข่งขันในเวทีโลก

อนึ่ง EU เป็น คู่ค้าลำดับที่ 4 ของไทย (รองจากจีน, สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) โดยมีมูลค่าการค้ารวม 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.54 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็น 7.17% ของการค้ารวมของไทยกับโลก ไทยส่งออกไป EU มูลค่า 24,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 850,000 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญอาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และชิ้นส่วน ขณะที่ไทยนำเข้าจาก EU มูลค่า 19,328 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 687,000 ล้านบาท) สินค้านำเข้าสำคัญ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องบินและอุปกรณ์การบิน เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มี.ค. 68)

Tags: , , ,