นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดงานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริม SMEs ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่อง “FTA ขยายธุรกิจ พิชิตส่งออก” เพื่อร่วมหารือถึงโอกาส และความท้าทาย จากสถานการณ์ทางการค้าโลก ในยุค “ทรัมป์ 2.0” โดยกรมฯ เห็นว่าข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) จะเป็นทางรอดธุรกิจไทยในการส่งออก โดยจะช่วยกระจายความเสี่ยงการส่งออกไปยังตลาดใหม่ และตลาดที่ไทยมี FTA ซึ่งผู้ส่งออกไทยจะมีแต้มต่อด้านภาษี พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการผลิตสินค้า โดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) ให้ได้ถิ่นกำเนิดไทยตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการถูกเพ่งเล็งว่าเป็นสินค้าที่ปลอมแปลง หรือแอบอ้างถิ่นกำเนิดจากประเทศที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าแบบแข็งกร้าว
นางอารดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 คาดการณ์แนวโน้มการใช้สิทธิ FTA ว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ผลมาจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการส่งออกผ่านการใช้สิทธิ FTA และสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA ที่จะเป็นแต้มต่อให้สินค้าไทยในการรักษาตลาด และขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาวการณ์แข่งขันของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเข้มข้น โดยอันดับ 1 คาดว่าจะยังคงเป็นตลาดอาเซียน
สิ่งที่น่าจับตามองในปี 2568 ของตลาดอาเซียน คือ การส่งออกไปยังเวียดนาม ที่มีสถิติการใช้สิทธิฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ในขณะที่ตลาดสำคัญอื่น เช่น จีน จากข้อมูลสถิติช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2567 พบว่า ทุเรียนสด ยังเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด และมีแนวโน้มที่จะยังคงครองตลาดในจีนอย่างต่อเนื่องในปี 2568
ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ นอกจากเป็นหน่วยงานที่ร่วมเจรจาด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ให้เหมาะกับรูปแบบการผลิตสินค้าของไทยแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ของความตกลง FTA โดยดูแลการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะใช้ประกอบการลด หรือยกเว้นภาษีขาเข้าจากประเทศคู่ภาคี โดยปัจจุบัน เป็นการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการสูงสุด
“ขณะนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างเตรียมการออกกฎระเบียบ และจัดทำระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการใช้บังคับความตกลง ทั้งความตกลงที่มีอยู่เดิม เช่น อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ที่เพิ่มรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ให้มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-CO ตั้งแต่เดือนมิ.ย.68 และความตกลงฉบับใหม่ล่าสุด ได้แก่ FTA ไทย-ศรีลังกา (SLTFTA) ที่คาดว่าจะใช้บังคับในวันที่ 1 มี.ค.68” นางอารดา กล่าว
นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับการเร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA อย่างเต็มที่ ตามนโยบายของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่เปิดแผนลุยจัดสัมมนาต่อเนื่องทั้งปี 2568 เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศ รวม 10 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา ลำพูน หนองคาย นครพนม นครราชสีมา กาญจนบุรี บุรีรัมย์ และสงขลา
โดยครั้งถัดไปเดือนมกราคม 2568 ปักหมุด ณ จังหวัดระยอง ซึ่งการจัดสัมมนาทั้งหมดนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ลดภาษีนำเข้า เพิ่มผลกำไร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีทักษะและศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจ เพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ธ.ค. 67)
Tags: SMEs, กรมการค้าต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, การค้าเสรี, การส่งออก, สงครามการค้า, อารดา เฟื่องทอง