พลังประชารัฐ ชี้ 3 เหตุ ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง “ปริมาณสำรองไฟฟ้าสูง, ล้มเหลวบริหารแหล่งบงกช-เอราวัณ, เอื้อโรงไฟฟ้า LNG พร้อมเสนอ 4 แนวทางแก้ไข ตอบโจทย์ยั่งยืน ยุติปัญหาไฟฟ้าล้น-ลดใช้ LNG-เพิ่มไฟฟ้าภาคประชาชนเข้าระบบ ส่งเสริมโซลาร์เซลทุกครัวเรือน-ปรับลดค่า Ft
มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมนโยบายเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สรุปถึงที่มาและปัญหาค่าไฟฟ้าแพงว่า มาจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1) การสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น ทำให้ไฟฟ้าสำรองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โรงไฟฟ้าแม้ไม่ผลิตไฟ ประชาชนก็ต้องจ่ายเงิน เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่าย” (AP)
2) โรงไฟฟ้าใหม่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง แต่ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทยของรัฐบาล ทำให้ปริมาณก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต จึงต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน
3) การปิดโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ เพื่อเปิดทางให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ LNG มีราคาแพงเข้ามาในระบบ หากเป็นเอกชนก็ต้องจ่ายค่า AP เป็นก้อนใหญ่ชดเชยให้ ทั้งที่บางแห่งผลิตไฟได้ถูกกว่า
ด้าน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรคฯ กล่าวว่า สาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของประเทศแพง เนื่องจากปัจจุบันการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของรัฐบาลไม่ได้แก้แบบบูรณาการ และยังเป็นการแก้ไม่ตรงจุด ขณะที่แนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าของพล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบัน เป็นการแก้ไขแบบเอื้อต่อนายทุน มากกว่าการมองผลประโยชน์ของประชาชน จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาสะสมอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ
นายธีระชัย ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่า 1.กำหนดราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ดังนั้น การกำหนดเพดานราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ก็ย่อมจะต้องควักกระเป๋าออกมาจากฝ่ายรัฐเท่านั้น จึงเป็นนโยบายที่เน้นการปกป้องผลกำไรของนายทุนพลังงานเป็นหลัก
2.ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน สำหรับผลิตไฟฟ้า และขายเข้าระบบเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งเห็นว่าที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์อย่างจริงจัง เพราะการติดตั้งบังคับให้ต้องขออนุญาตถึง 3 หน่วยงาน มีการกำหนดปริมาณที่จะรับซื้อไฟฟ้าแบบนี้ไว้จำกัดมาก และรับซื้อในราคา 2.20 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าราคาที่ครัวเรือนซื้อไฟฟ้าจากรัฐบาลมาก
“รัฐบาลประยุทธ์ ไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่ารัฐบาลได้เปิดให้มีการประมูลไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้เอกชนรายใหญ่อีกถึง 3,660 เมกะวัตต์ ทั้งที่ควรรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน” นายธีระชัย กล่าว
พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากล กรณีที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นรัฐบาลรักษาการ มีการอนุมัติผลการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 175 ราย 5,203 เมกะวัตต์ ในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 เมื่อวันที่ 5 เม.ย.66 ที่ผ่านมา
โดยมีข้อสงสัยต่อกรณีดังกล่าว3 ประเด็น คือ 1. การกระทำดังกล่าว เป็นสิ่งที่รัฐบาลรักษาการพึงกระทำหรือไม่ 2. เป็นการประมูลที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาไม่ถือเป็นการประมูล แต่เป็นการคัดเลือกจากรายชื่อที่ยื่นเข้ามา และ 3.เป็นการทิ้งทวนเพื่อเอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน ต้องมีคำตอบให้กับประชาชน
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค กล่าวว่า หากพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าไปเป็นรัฐบาล พรรคมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงแบบบูรณาการ และตอบโจทย์ ซึ่งพรรคมองว่าแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องดำเนินการให้ครอบคลุม 4 แนวทาง เพื่อให้เป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ได้แก่
1. ยุติปัญหาโรงไฟฟ้าล้นเกิน โดยไม่ทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ทุกราย จนกว่าไฟฟ้าสำรองอยู่ในระดับ 15% พร้อมกับตรวจสอบการประมูลที่ผ่านมาว่า มีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น การล๊อคสเปกในการประมูล เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน
2. ลดการใช้ LNG เพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า และเร่งกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยเฉพาะแหล่งบงกชและเอราวัณให้กลับมาเป็นปกติ จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้ 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 70%
ทั้งนี้ จะมีการเจรจาขอยืมก๊าซในแหล่งพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ที่แบ่งกันคนละครึ่ง ให้ไทยเป็นผู้ใช้ก๊าซเป็นเวลา 1-2 ปี ในช่วงปรับโครงสร้างพลังงานไทยทั้งระบบ ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 20-30%
นอกจากนี้ จะห้ามไม่ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟจากเอกชนในราคาสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. บวกอีก 10% โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิง จะได้รับเพียงเงินค่าความพร้อมจ่ายเท่านั้น โดยให้ กฟผ. ซื้อจากแหล่งที่มีราคาถูก เช่น โรงไฟฟ้าจากชุมชน และโซลาร์ประชาชนที่มีราคาถูกกว่าแทน
พร้อมกับจัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติ ที่รัฐถือหุ้น 100% ทำหน้าที่จัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทย ที่จะทยอยหมดอายุสัมปทาน และต้องตกเป็นของรัฐ โดยให้องค์กรเป็นผู้ทรงสิทธิ์ซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียว และเป็นผู้จัดสรรสิทธิ์การใช้ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทย โดยกำหนดราคาขายเป็นขั้นบันได ราคาต่ำสุดจะให้สิทธิ์แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการผลิตก๊าซหุงต้มสำหรับประชาชน ราคาบันไดขั้นต่อไป หากมีก๊าซเหลือจึงจะให้สิทธิแก่ภาคธุรกิจ ทั้งปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้าของเอกชน
3. เพิ่มไฟฟ้าภาคประชาชนเข้ามาในระบบ แทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG ด้วยการสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน โดยให้ครัวเรือนขายไฟฟ้าได้ในราคาเดียวกันกับราคาที่ซื้อไฟฟ้า ตามหลักของการหักกลบลบหน่วย Net Metering ค่าไฟต่ำสุดเหลือ 0 บาท
พร้อมกับให้ อบต. และเทศบาล ร่วมกับ กฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือเอกชน ทำโซลาร์ฟาร์ม โดยผลกำไรส่วนหนึ่งเป็นของ อบต. และอีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะนำมาเฉลี่ยให้กับครัวเรือนแต่ละหลัง เพื่อหักออกจากค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ ช่วยลดผลกระทบจากค่าไฟที่สูงขึ้น และให้กระทรวงการคลัง ประสานกับธนาคารของรัฐ เพื่อให้เป็นผู้ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน และโครงการโซลาร์ชุมชน
4. ยุติปัญหาค่า Ft แพง โดยการปรับลดค่า Ft ให้นำหนี้สินของ กฟผ. ที่จะเรียกเก็บผ่านค่า Ft มาออกเป็นพันธบัตร “ไฟฟ้าประชารัฐ” อายุ 5-15 ปี จะทำให้ภาระหนี้สินที่ต้องเรียกจากประชาชนลดลงจาก 1.5 แสนล้านบาท เหลือปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยค่า Ft ในส่วนหนี้สินนี้จะเหลือต่ำกว่า 10 สต. โดยรักษาให้ Ft รวมอยู่ในระดับ 25 สต. แต่มีเพดานไม่เกิน 50 สต. ในภาวะที่ราคาเชื้อเพลิงผันผวน ซึ่งลดลงจากเป้าหมายที่ กฟผ. เสนอค่า Ft ในเดือน พ.ค.66 ที่ 293.60 สตางค์ โดยจะต้องทำพร้อมปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าข้างต้นเพื่อไม่ให้หนี้สินกลับมาเป็นภาระอีก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 66)
Tags: ค่าไฟ, ค่าไฟฟ้า, พปชร., พรรคพลังประชารัฐ