นายเอสวาร์ ปราสาด ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน มีแนวโน้มที่จะยกระดับการทำสงครามการค้ากับจีน และอาจใช้นโยบายการแยกเศรษฐกิจ (Economic Decoupling Policy) ออกจากจีน หากเขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง โดยนโยบายดังกล่าวเป็นแนวคิดการแยกเศรษฐกิจและห่วงโซ่การผลิตออกจากจีนอย่างสิ้นเชิง โดยมีเป้าหมายที่จะลดการพึ่งพาจีน
แม้ว่าปธน.โจ ไบเดนจะชูกลยุทธ์การแข่งขันกับจีนเป็นนโยบายหลักด้านเศรษฐกิจ แต่นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าส่วนใหญ่คาดว่า นายทรัมป์จะดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวกับจีนมากกว่า และจะทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ
“มีความเป็นไปได้สูงว่า ชัยชนะของนายทรัมป์จะยิ่งสร้างความบาดหมางทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐ และจะก่อให้เกิดการแบ่งขั้วทางการค้าและการเงินระหว่างสองประเทศ” นายปราสาดกล่าว
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า นายทรัมป์จะแข่งขันกับนางคามาลา แฮร์ริส รองปธน.สหรัฐในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพ.ย. หลังจากปธน.โจถอนตัวจากการแข่งขันและสนับสนุนให้เธอเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขณะที่นายปราสาดและผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ มองว่า แนวทางการดำเนินนโยบายกับจีนของนางแฮร์ริสน่าจะคล้ายกับแนวทางของปธน.ไบเดน
นายปราสาดกล่าวว่า “นายทรัมป์พึ่งพามาตรการภาษีในการสกัดกั้นการนำเข้าสินค้าจากจีน ขณะที่ปธน.ไบเดนมุ่งเน้นที่การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและชิปคอมพิวเตอร์”
หลังจากโค่นนายทรัมป์ในศึกเลือกตั้งปี 2563 ปธน.ไบเดนยังคงเดินหน้าใช้มาตรการเดียวกับนายทรัมป์ โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าครั้งใหม่จากจีนมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ลิเธียม เหล็ก และอะลูมิเนียม ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า นางแฮร์ริสจะยังคงสานต่อนโยบายภาษีของปธน.ไบเดน
นายสตีเฟน โรช นักเศรษฐศาสตร์อีกรายหนึ่งเปิดเผยกับซีเอ็นบีซีว่า “การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของนายทรัมป์หากเขากลับเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งนั้น ไม่ต่างอะไรกับการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ค. 67)
Tags: สงครามการค้า, โดนัลด์ ทรัมป์